วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน 1 มิถุนายน 2558


บทความวันที่ 1 มิถุนายน  2558

ว่า.....!!!!!

....ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน...

คำตอบคือ...
อ่านแล้วได้โปรดกดถูกใจให้เป็นกำลังใจกับเด็กที่กำลังสร้างเว็บไซต์นี้ด้วยนะ
ที่นี่  
  •  ไก่ กับ ไข่ ใครเกิดก่อนกัน
จัดเรียงกึ่งกลาง

.       จำได้ดีว่าคำถามที่ว่า ไข่ กับ ไก่ ใครเกิดก่อนกัน บ้างก็ตอบว่าไก่เกิดก่อนคนอื่นก็จะแย้งว่าในเมื่อไก่เกิดจากไข่ถ้าไม่มีไข่แล้วไก่จะเกิดได้อย่างไร ในทางตรงกันข้ามถ้าบอกว่าไข่เกิดก่อนแล้วใครออกไข่ไก่ มันก็วนกันอยู่อย่างนี้ จนคำถามนี้กลายเป็นปัญหาที่เรียกว่าปัญหาโลกแตกใครก็ไขไม่ได้ แต่วันนี้มีนักวิจัยกลุ่มหนึ่งออกมาเผยว่าพวกเขาสามารถไขปัญหาโลกแตกนี้ได้แล้ว

คำตอบ คำถามโลกแต่ ไข่ กับ ไก่ ใครเกิดก่อนกัน คือ


  • คำตอบก็คือ ไก่เกิดก่อน
  • เพราะทีมวิจัยจากมหาลัย Sheffield และ Warwick พบว่าโปรตีนที่ชื่อว่า ovocledidin-17 หรือตัวย่อOC-17 เป็นสิ่งจำเป็นในการเริ่มต้นและเร่งขบวนการตกผลึกของเปลือกไข่ให้แข็งเพื่อใช้เป็นบ้านของลูกเจี๊ยบตัวน้อยที่จะค่อยๆพัฒนาการจากไข่แดงและไข่ขาว
  • และโปรตีน OC-17 ก็พบเฉพาะในรังไข่ของไก่เท่านั้น จากการค้นพบนี้ทีมงานจึงสรุปว่าไก่เกิดก่อน เพราะต้องมีแม่ไก่ที่มีสาร OC-17 ในรังไข่ก่อนแม่ไก่ถึงจะออกไข่ได้
ข้อมูลอ้างอิง




คำถามที่ดีควรเป็นอย่างไร 6 มิถุนายน 2558


บทความวันที่ 6 มิถุนายน  2558

ว่า.....!!!!!

....คำถามที่ดีควรเป็นอย่างไร...

คำตอบคือ...
อ่านแล้วได้โปรดกดถูกใจให้เป็นกำลังใจกับเด็กที่กำลังสร้างเว็บไซต์นี้ด้วยนะ
ที่นี่  
  • คำถามที่ดีควรเป็นอย่างไรจัดเรียงกึ่งกลาง
หัวข้อ: วิชาการ       รวบรวมโดย กัญญา  วีรยวรรธน

            การใช้คำถามเป็นเทคนิคสำคัญในการเสาะแสวงหาความรู้ที่มีประสิทธิภาพ  เป็นกลวิธีการสอนที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ที่พัฒนาทักษะการคิด  การตีความ  การไตร่ตรอง  การถ่ายทอดความคิด  สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงการจัดกระบวนการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี
            การถามเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้  ช่วยให้ผู้เรียนสร้างความรู้  ความเข้าใจ และพัฒนาความคิดใหม่ ๆ กระบวนการถามจะช่วยขยายทักษะการคิด  ทำความเข้าใจให้กระจ่าง  ได้ข้อมูลป้อนกลับทั้งด้านการเรียนการสอน  ก่อให้เกิดการทบทวน  การเชื่อมโยงระหว่างความคิดต่าง ๆ  ส่งเสริมความอยากรู้อยากเห็นและเกิดความท้าทาย

ระดับของการตั้งคำถาม
การตั้งคำถามมี  2  ระดับ  คือ  คำถามระดับพื้นฐาน และคำถามระดับสูง  ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
            1)  คำถามระดับพื้นฐาน   เป็นการถามความรู้  ความจำ  เป็นคำถามที่ใช้ความคิดทั่วไป หรือความคิดระดับต่ำ  ใช้พื้นฐานความรู้เดิมหรือสิ่งที่ประจักษ์ในการตอบ  เนื่องจากเป็นคำถามที่ฝึกให้เกิดความคล่องตัวในการตอบ  คำถามในระดับนี้เป็นการประเมินความพร้อมของผู้เรียนก่อนเรียน  วินิจฉัยจุดอ่อน – จุดแข็ง  และสรุปเนื้อหาที่เรียนไปแล้ว  คำถามระดับพื้นฐานได้แก่
                  1.1)  คำถามให้สังเกต   เป็นคำถามที่ให้ผู้เรียนคิดตอบจากการสังเกต  เป็นคำถามที่ต้องการให้ผู้เรียนใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าในการสืบค้นหาคำตอบ  คือ  ใช้ตาดู  มือสัมผัส  จมูกดมกลิ่น  ลิ้นชิมรส  และหูฟังเสียง  ตัวอย่างคำถามเช่น
                         æ   เมื่อนักเรียนฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกอย่างไร
                         æ   ภาพนี้มีลักษณะอย่างไร
                         æ   สารเคมีใน  2  บีกเกอร์  ต่างกันอย่างไร
                         æ   พื้นผิวของวัตถุเป็นอย่างไร
                  1.2)  คำถามทบทวนความจำ   เป็นคำถามที่ใช้ทบทวนความรู้เดิมของผู้เรียน  เพื่อใช้เชื่อมโยงไปสู่ความรู้ใหม่ก่อนเริ่มบทเรียน  ตัวอย่างคำถามเช่น
                         æ   วันวิสาขบูชาตรงกับวันใด
                         æ   ดาวเคราะห์ดวงใดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
                         æ   ใครเป็นผู้แต่งเรื่องอิเหนา
                         æ   เมื่อเกิดอาการแพ้ยาควรโทรศัพท์ไปที่เบอร์ใด
                  1.3)  คำถามที่ให้บอกความหมายหรือคำจำกัดความ   เป็นการถามความเข้าใจ  โดยการให้บอกความหมายของข้อมูลต่าง ๆ  ตัวอย่างคำถามเช่น
                         æ   คำว่าสิทธิมนุษยชนหมายความว่าอย่างไร
                         æ   ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาคืออะไร
                         æ   สถิติ (Statistics)  หมายความว่าอย่างไร
                         æ   บอกความหมายของ  Passive  Voice
                  1.4)  คำถามบ่งชี้หรือระบุ   เป็นคำถามที่ให้ผู้เรียนบ่งชี้หรือระบุคำตอบจากคำถามให้ถูกต้อง  ตัวอย่างคำถามเช่น
                         æ   ประโยคที่ปรากฏบนกระดานประโยคใดบ้างที่เป็น Past  Simple  Tense
                         æ   คำใดต่อไปนี้เป็นคำควบกล้ำไม่แท้
                         æ   ระบุชื่อสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง
                         æ   ประเทศใดบ้างที่เป็นสมาชิก APEC
            2)  คำถามระดับสูง   เป็นการถามให้คิดค้น  หมายถึง  คำตอบที่ผู้เรียนตอบต้องใช้ความคิดซับซ้อน  เป็นการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และกระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถใช้สมองทั้งซีกซ้ายและซีกขวาในการคิดหาคำตอบ  โดยอาจใช้ความรู้หรือประสบการณ์เดิมมาเป็นพื้นฐานในการคิดและตอบคำถาม  ตัวอย่างคำถามระดับสูงได้แก่
                  2.1)  คำถามให้อธิบาย   เป็นการถามโดยให้ผู้เรียนตีความหมาย  ขยายความ  โดยการให้อธิบายแนวคิดของข้อมูลต่าง ๆ  ตัวอย่างคำถามเช่น
                         æ   เพราะเหตุใดใบไม้จึงมีสีเขียว
                         æ   นักเรียนควรมีบทบาทหน้าที่ในโรงเรียนอย่างไร
                         æ   ชาวพุทธที่ดีควรปฏิบัติตนอย่างไร
                         æ   นักเรียนจะปฏิบัติตนอย่างไรจึงจะทำให้ร่างกายแข็งแรง
                  2.2)  คำถามให้เปรียบเทียบ   เป็นการตั้งคำถามให้ผู้เรียนสามารถจำแนกความเหมือน – ความแตกต่างของข้อมูลได้  ตัวอย่างคำถามเช่น
                         æ   พืชใบเลี้ยงคู่ต่างจากพืชใบเลี้ยงเดี่ยวอย่างไร
                         æ   จงเปรียบเทียบวิถีชีวิตของคนไทยในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทย
                         æ   DNA  กับ  RNA  แตกต่างกันหรือไม่  อย่างไร
                         æ   สังคมเมืองกับสังคมชนบทเหมือนและต่างกันอย่างไร
                  2.3)  คำถามให้วิเคราะห์   เป็นคำถามให้ผู้เรียนวิเคราะห์  แยกแยะปัญหา  จัดหมวดหมู่  วิจารณ์แนวคิด หรือบอกความสัมพันธ์และเหตุผล  ตัวอย่างคำถามเช่น
                         æ   อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน
                         æ   วัฒนธรรมแบ่งออกเป็นกี่ประเภท  อะไรบ้าง
                         æ   สาเหตุใดที่ทำให้นางวันทองถูกประหารชีวิต
                         æ   การติดยาเสพติดของเยาวชนเกิดจากสาเหตุใด
                  2.4)  คำถามให้ยกตัวอย่าง   เป็นการถามให้ผู้เรียนใช้ความสามารถในการคิด  นำมายกตัวอย่าง  ตัวอย่างคำถามเช่น
                         æ   ร่างกายขับของเสียออกจากส่วนใดบ้าง
                         æ   ยกตัวอย่างการเคลื่อนที่แบบโปรเจกไตล์
                         æ   หินอัคนีสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไรบ้าง
                         æ   อาหารคาวหวานในพระราชนิพนธ์กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานได้แก่อะไรบ้าง
                  2.5)  คำถามให้สรุป   เป็นการใช้คำถามเมื่อจบบทเรียน  เพื่อให้ทราบว่าผู้เรียนได้รับความรู้หรือมีความก้าวหน้าในการเรียนมากน้อยเพียงใด  และเป็นการช่วยเน้นย้ำความรู้ที่ได้เรียนไปแล้ว  ทำให้สามารถจดจำเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น  ตัวอย่างคำถามเช่น
                         æ   จงสรุปเหตุผลที่ทำให้พระเจ้าตากสินทรงย้ายเมืองหลวง
                         æ   เมื่อนักเรียนอ่านบทความเรื่องนี้แล้วนักเรียนได้ข้อคิดอะไรบ้าง
                         æ   จงสรุปแนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำเพื่อให้เกิดคุณค่าสูงสุด
                         æ   จงสรุปขั้นตอนการทำผ้าบาติค
                  2.6)  คำถามเพื่อให้ประเมินและเลือกทางเลือก   เป็นการใช้คำถามที่ให้ผู้เรียนเปรียบเทียบหรือใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจเลือกทางเลือกที่หลากหลาย  ตัวอย่างคำถามเช่น
                         æ   การว่ายน้ำกับการวิ่งเหยาะ  อย่างไหนเป็นการออกกำลังกายที่ดีกว่ากัน  เพราะ
                                  เหตุใด
                         æ   ระหว่างน้ำอัดลมกับนมอย่างไหนมีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่ากัน  เพราะเหตุใด
                         æ   ดินร่วน  ดินทราย  และดินเหนียว  ดินชนิดใดเหมาะแก่การปลูกมะม่วงมากกว่ากัน
                                  เพราะเหตุใด
                         æ   ไก่ทอดกับสลัดไก่  นักเรียนจะเลือกรับประทานอาหารชนิดใด  เพราะเหตุใด
                  2.7)  คำถามให้ประยุกต์   เป็นการถามให้ผู้เรียนใช้พื้นฐานความรู้เดิมที่มีอยู่มาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่หรือในชีวิตประจำวัน  ตัวอย่างคำถามเช่น
                         æ   นักเรียนมีวิธีการประหยัดพลังงานอย่างไรบ้าง
                         æ   เมื่อนักเรียนเห็นเพื่อนในห้องขาแพลง  นักเรียนจะทำการปฐมพยาบาลอย่างไร
                         æ   นักเรียนนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต
                                   ประจำวันอย่างไรบ้าง
                         æ   นักเรียนจะทำการส่งข้อความผ่านทางอีเมลล์ได้อย่างไร
                  2.8)  คำถามให้สร้างหรือคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ  หรือผลิตผลใหม่ ๆ   เป็นลักษณะการถามให้ผู้เรียนคิดสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ ที่ไม่ซ้ำกับผู้อื่นหรือที่มีอยู่แล้ว  ตัวอย่างคำถามเช่น
                         æ   กระดาษหนังสือพิมพ์ที่ไม่ใช้แล้ว  สามารถนำไปประดิษฐ์ของเล่นอะไรได้บ้าง
                         æ   กล่องหรือลังไม้เก่า ๆ สามารถดัดแปลงกลับไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร
                         æ   เสื้อผ้าที่ไม่ใช้แล้ว  นักเรียนจะนำไปดัดแปลงเป็นสิ่งใดเพื่อให้เกิดประโยชน์
                         æ   นักเรียนจะนำกระดาษที่ใช้เพียงหน้าเดียวมาประดิษฐ์เป็นสิ่งใดบ้าง
            การตั้งคำถามระดับสูงจะทำให้ผู้เรียนเกิดทักษะการคิดระดับสูง  และเป็นคนมีเหตุผล  ผู้เรียนไม่เพียงแต่จดจำความรู้  ข้อเท็จจริงได้อย่างเดียวแต่สามารถนำความรู้ไปใช้ในการแก้ปัญหา  วิเคราะห์ และประเมินสิ่งที่ถามได้  นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจสาระสำคัญของเรื่องราวที่เรียนได้อย่างถูกต้อง
และกระตุ้นให้ผู้เรียนค้นหาข้อมูลมาตอบคำถามด้วยตนเอง
            การตอบคำถามระดับสูง  ผู้สอนต้องให้เวลาผู้เรียนในการคิดหาคำตอบเป็นเวลามากกว่าการตอบคำถามระดับพื้นฐาน  เพราะผู้เรียนต้องใช้เวลาในการคิดวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งและมีวิจารณญาณในการตอบคำถาม  ความผิดพลาดอย่างหนึ่งของการตั้งคำถามคือ  การถามแล้วต้องการคำตอบในทันทีโดยไม่ให้เวลาผู้เรียนในการคิดหาคำตอบข้อมูลอ้างอิง




วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558

อาณาจักรใดที่อยู่ในสมัยก่อนของไทย 5 มิถุนายน 2558


บทความวันที่ 5 มิถุนายน  2558

ว่า.....!!!!!

....อาณาจักรใดที่อยู่ในสมัยก่อนของไทย...

คำตอบคือ...
อ่านแล้วได้โปรดกดถูกใจให้เป็นกำลังใจกับเด็กที่กำลังสร้างเว็บไซต์นี้ด้วยนะ
ที่นี่  
  •  
    อาณาจักรโบราณในดินแดนประเทศไทย ก่อนสมัยสุโขทัย
                    ประเทศไทยในปัจจุบัน ได้มีผู้คนหลายเผ่าพันธุ์ตั้งถิ่นฐาน อาศัยอยู่ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ สืบต่อเนื่องมาตามลำดับ นับเป็นระยะเวลาหลายพันปีมาแล้วโดยเริ่มจากชุมชนหมู่บ้าน ที่กระจายอยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำและบนที่ราบสูงมารวมตัวกันเป็นเมือง มีการติดต่อค้าขายกับชุมชนอื่น ๆ ทั้งภายในและภายนอก กลายเป็นเมืองท่าค้าขาย มีผู้คนย้ายมาตั้งถิ่นฐานมากขึ้น และได้มีพัฒนาเป็นอาณาจักร ตลอดจนได้ขยายอำนาจครอบคลุมอำนาจอื่น ต่างชิงความเป็นใหญ่ และตั้งเป็นอาณาจักรของตนเอง ได้แก่ อาณาจักรตามพรลิงค์ อาณาจักรโคตรบูร อาณาจักรขอม อาณาจักรทวารวดี อาณาจักรละโว้ อาณาจักรศรีวิชัย อาณาจักรเงินยางเชียงแสน อาณาจักรล้านนา อาณาจักรหริภุญชัย อาณาจักรอโยธยา และอาณาจักรสุพรรณภูมิ
    อาณาจักรโบราณในดินแดนภาคกลางของไทย
    อาณาจักรทวารวดี 
    อาณาจักรทวารดีเป็นอาณาจักรที่สำคัญอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งเคยมีความเจริญรุ่งเรืองอยู่ในดินแดนประเทศไทยในปัจจุบัน ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 11-16 มีความเจริญครอบคลุมไปยังดินแดนภาคเหนือ และภาคกลางของประเทศไทยในปัจจุบัน ตลอดจนถึงหัวเมืองมอญริมฝั่งทะเลอันดามัน โดยนักประวัติศาสตร์มีความเห็นเกี่ยวกับศูนย์กลางของอาณาจักรทวารวดีที่มีความแตกต่างกันแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
    กลุ่มที่ 1 เชื่อว่าอาณาจักรทวารวดีมีศูนย์กลางที่เมืองนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม
    กลุ่มที่ 2 เชื่อว่าอาณาจักรทวารวดีมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี
    กลุ่มที่ 3 เชื่อว่าอาณาจักรทวารวดีมีศูนย์กลางอยู่ที่ตำบลคูบัว จังหวัดราชบุรี
    จากข้อสันนิษฐานของนักประวัติศาสตร์ที่มีความแตกต่างกันออกไป เนื่องจากบริเวณ     ทั้ง  3 แห่ง พบร่องรอยเมืองโบราณ โบราณสถาน ศิลปวัตถุ สมัยทวารวดีเป็นจำนวนมาก เช่น พระพุทธรูป ลูกปัด เหรียญเงิน กงล้อรูปธรรมจักรกับกวางหมอบ ธรรมจักรศิลา ลายปูนปั้นนูนสตรีเล่นดนตรี 
    กลุ่มเมืองสำคัญเหล่านี้ล้วนเป็นดินแดนเขตชายฝั่งทะเลที่มีการติดต่อค้าขายทางทะเลกับอินเดีย จีน อาหรับ และเป็นแหล่งที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้านการเพาะปลูก จึงดึงดูดให้ผู้คนจากดินแดนภายนอก ตอนบนเคลื่อนย้ายลงมาตั้งหลักแหล่ง เป็นจำนวนมาก จึงทำให้เกิดเมืองใหญ่ๆ ขึ้นหลายเมือง นอกจากนั้นชุมชนแถบนี้ยังได้รับอิทธิพลจากอินเดีย ทางด้านศาสนา ศิลปวัฒนธรรม และแบบแผนการปกครอง โดยนำมาปรับให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนเอง อิทธิพล    ที่อินเดียส่งต่อมายังอาณาจักรทวารวดี ได้แก่
    1. พระพุทธศาสนา ซึ่งมีบทบาทเชื่อมโยงความแตกต่างทางเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ของกลุ่มชน ในดินแดนนี้ ให้ยึดถือในความเชื่อเดียวกัน
    2. กำหนดแบบแผนของกษัตริย์ที่ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์และส่งเสริมพระพุทธศาสนา
    3. มีการแบ่งชนชั้นทางสังคม ได้แก่ ชนชั้นปกครอง และชนชั้นใต้ปกครอง โดยพระสงฆ์เป็นผู้ปลูกฝังความเชื่อให้แก่ประชาชนใช้ภาษาบาลีประกาศคำสอนจากพระไตรปิฎก และใช้ภาษาสันสกฤต ในคำประกอบพิธีกรรม
    การนับถือศาสนา 
                    ประชาชนของอาณาจักรทวารวดีส่วนใหญ่ให้การนับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท
    ศิลปะสมัยทวารดี 
                    ศิลปะสมัยทวารวดีพบอยู่ในภาคกลางของประเทศไทย ได้แก่ นครปฐม สุพรรณบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี ราชบุรี ขึ้นไปจนถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เช่น ที่เมืองฟ้าแดดสงยาง จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้ค้นพบใบเสมา ศิลาสลักเป็นพระพุทธรูป พุทธประวัติ และชาดกต่าง ๆ
    ใบเสมาที่เมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง จ
    ใบเสมาสลักเรื่องพุทธประวัติที่เมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง จ.กาฬสินธุ์ 
    ที่มาภาพ  คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ .หน้า 32.
    กระปุกเหรียญสมัยทวารวดีและตัวอย่างของเหรียญ ซึ่งพบที่คอกช้างดิน เมืองเก่าอู่ทองแสดงถึงความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจเสาหินแปดเหลี่ยมซึ่งแสดงถึงลักษณะเด่นของศิลปกรรมสมัยทวารวดี
    Text Box: กระปุกเหรียญสมัยทวารวดีและตัวอย่าง               ของเหรียญ ซึ่งพบที่คอกช้างดิน เมืองเก่าอู่ทองแสดงถึงความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ  ที่มาภาพ  คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนประวัติศาสตร์        กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (หน้า 54)    Text Box: เสาหินแปดเหลี่ยมซึ่งแสดงถึงลักษณะเด่นของศิลปกรรมสมัยทวารวดี  ที่มาภาพ  คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนประวัติศาสตร์        กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (หน้า 53)
    ผลงานด้านศิลปะสมัยทวารวดี เกิดจากการสร้างสรรค์ทางศิลปะที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา โดยรับแบบพุทธศิลป์ของอินเดียมาผสมผสานกับคติความเชื่อในท้องถิ่นแล้วได้พัฒนามาเป็นลักษณะเฉพาะของตนเอง เป็นศิลปะสมัยทวารดีที่โดดเด่น และยังคงเหลือให้เห็น
    มีหลายด้าน ดังนี้
    ด้านสถาปัตยกรรม 
    ผลงานด้านสถาปัตยกรรมสมัยทวารวดีมักใช้การก่ออิฐถือปูน มีลายปูนปั้นประกอบ               ไม่นิยมก่ออิฐด้วยศิลาแลง รูปสัณฐานของเจดีย์ ฐานทำเป็นรูปสี่เหลี่ยม องค์สถูปทำเป็นรูประฆังคว่ำและมียอดเตี้ย เช่น พระปฐมเจดีย์องค์เดิม หรือเจดีย์วัดจุลปะโทน  จังหวัดนครปฐมและ              บางแบบทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมวางซ้อนกันขึ้นไปเป็นชั้น  แต่ละชั้นเจาะเป็นซุ้มสำหรับไว้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป  เช่น  เจดีย์วัดกู่กุด จังหวัดลำพูน


    http://www.baichaploo.com/dairy/prapathom.jpg
    พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม 
    ที่มาภาพ   http://www.baichaploo.com/dairy/prapathom.jpg
    https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjXwwZV4EJcprIoREpcQ93arPQUlfXQTZyzQzGTRgPCuhYVD41FTnSGjbdy2I6yVlQGXDDJZdY-8yZlmG4FG5jzE_H9kwaF0KI9iNhPxOE4NfXNFc3EALxUnAAIBKCVw20kaO8XOGFvAIZK/s400/13.bmp
    เจดีย์วัดกุดกู่ 
    ที่มาภาพ   https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjXwwZV4EJcprIoREpcQ93arPQUlfXQTZyzQzGTRgPCuhYVD41FTnSGjbdy2I6yVlQGXDDJZdY-8yZlmG4FG5jzE_H9kwaF0KI9iNhPxOE4NfXNFc3EALxUnAAIBKCVw20kaO8XOGFvAIZK/s400/13.bmp
    ด้านประติมากรรม 
    ผลงานด้านประติมากรรมสมัยทวารวดีที่สำคัญ ได้แก่ การสร้างพระพุทธรูปทำด้วยศิลา
    ลักษณะพระพักตร์มีขมวดพระเกศาใหญ่บางครั้งมีรัศมีเป็นรูปดอกบัวตูมอยู่เหนือพระเกตุมาลา  พระพักตร์แบน  พระขนงสลักเป็นเส้นนูนโค้งติดต่อเป็นรูปปีกกา  พระเนตรโปน  พระนาสิกแบน  พระโอษฐ์หนา จีวรบางติดกับพระองค์  พระบาทใหญ่ มักนิยมทำเป็นพระพุทธรูปปางปฐมเทศนาประทับนั่งห้อยพระบาท  เช่น  พระพุทธรูปสมัยทวารวดีที่วัดหน้าพระเมรุ  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  และที่ถ้ำฤๅษีเขางู  จังหวัดราชบุรี   นอกจากนั้นยังมีศิลาสลักรูปกงล้อ                   พระธรรมจักรกับกวางหมอบ รูปเหล่านี้หมายถึง   พระพุทธองค์ปางประทานปฐมเทศนา                    ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี และพบประติมากรรมดินเผาและรูปปั้นหลายชิ้นที่มีความงดงาม เช่น ภาพปูนปั้นสตรีเล่นดนตรี
    58t3http://nutcoco.exteen.comimages/image5.jpg
     
    236AC804
    พระพุทธรูปศิลาขาว ประทับนั่งห้อยพระบาทศิลปะทราวดี พุทธศตวรรษที่ 11-16
    บางแสดงเทศนา แสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา

    ที่มาภาพ  ประวัติศาสตร์เชิงวิเคราะห์ กรมวิชาการ. หน้า 138.
    อาณาจักรละโว้ 
    เมืองละโว้ เมื่อแรกก่อตั้งนั้น ปรากฏข้อความในพงศาวดารเหนือกล่าวว่า พระพุทธศักราช 1002 ปี จุลศักราช 10 ปีระกาสัมฤทธิศก จึงพระยากาฬวรรณดิศราชบุตรของพระยากากะพัตรได้เสวยราชสมบัติ เมืองตักกะศิลามหานคร จึงให้พราหมณ์ทั้งหลายยกพลไปสร้างเมืองละโว้ 
    จากข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในพงศาวดารเหนือ พอจะสรุปได้ว่าเมืองละโว้มีมาตั้งแต่ พ.ศ. 1002 แล้ว และจากการขุดค้นทางโบราณคดี ปรากฏว่าตั้งแต่อำเภอชัยบาดาล ถึงอำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี ล้วนแต่มีหลักฐานเกี่ยวกับมนุษย์ในอดีตที่ยาวนานมาแล้ว จากชุมชนขนาดย่อมขยายเป็นเมืองเล็กๆ จนกระทั่งรวมตัวกันเป็นอาณาจักรหรือเขตปกครองที่เป็นส่วนย่อยของประเทศ ราวพุทธศตวรรษที่ 10 – 12 ละโว้กลายเป็นอาณาจักรหรือเมืองขนาดใหญ่แล้ว และในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 – 14 อาณาจักรละโว้มีความรุ่งเรืองอย่างมาก โดยเฉพาะด้านพระพุทธศาสนา 
    อาณาจักรละโว้ มีความเจริญมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีอิทธิพลครอบคลุมดินแดนภาคกลางตอนบน ตั้งแต่จังหวัดนครสวรรค์เรื่อยมาจนถึงภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยบางส่วน ศูนย์กลางของอาณาจักรละโว้ในตอนต้นสันนิษฐานว่าอยู่ที่เมืองลพบุรี และประมาณพุทธศตวรรษที่ 17 ได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองอโยธยา ภายหลังต่อมาเมื่อใน พ.ศ.1893 ได้มีการสถาปนาอาณาจักรอยุธยาขึ้นนั้นให้ละโว้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยา
    http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/presentstu/course/others/wilaiporn/61.2.jpg               
    พระปรางค์สามยอด จังหวัดลพบุรี 
    แสดงให้เห็นอิทธิพลของศาสนาฮินดูและพระพุทธศาสนา
    ที่มาภาพ   http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/presentstu/course/others/wilaiporn/61.2.jpg
                            หลังจากพุทธศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา อาณาจักรขอมได้ขยายอิทธิพลเข้ามายัง
    บริเวณนี้  ทำให้ความสำคัญของอาณาจักรละโว้ลดลง อิทธิพลศิลปวัฒนธรรมของขอมได้แพร่เข้ามาในดินแดนประเทศไทย โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา  และเลยมาทางตะวันตกได้แก่ ปราสาทเมืองสิงห์                         จังหวัดกาญจนบุรี  และในช่วงเวลาดังกล่าวละโว้เป็นศูนย์กลางที่สำคัญทางภาคกลาง จึงได้รับอิทธิพลศิลปะขอม โดยนำมาผสมผสานรูปแบบให้เป็นลักษณะเฉพาะของตนเอง ได้แก่                                     พระปรางค์สามยอด  และเทวสถานปรางค์แขก จังหวัดลพบุรี
    http://2.bp.blogspot.com/_22ZmxOFy6cc/Se161kCEHxI/AAAAAAAAAIY/JC6M1ZkBB9w/s320/552000001584504.jpg
    เทวสถานปรางค์แขก จังหวัดลพบุรีที่มาภาพ  http://2.bp.blogspot.com/_22ZmxOFy6cc/Se161kCEHxI/AAAAAAAAAIY /JC6M1ZkBB9w/s320/
    552000001584504.jpg
    อาณาจักรอโยธยา
                    หลักฐานพงศาวดารเหนือกล่าว อาณาจักรอโยธยาได้พัฒนาขึ้นมาจากศูนย์กลาง    การปกครองเดิม ได้แก่  เมืองละโว้ เมืองอโยธยา ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำเบี้ยทางฝั่งตะวันออกของตัวเมืองพระนครศรีอยุธยาในปัจจุบัน การย้ายศูนย์กลางการปกครองจากเมืองละโว้มายังเมือง           อโยธยา นั้นเป็นช่วงเวลาที่มีการขยายตัวทางด้านการค้าทางทะเลโดยเฉพาะจีน  เพราะอาณาจักร
    อโยธยาอยู่ใกล้ทะเลกว่าละโว้และอยู่ในบริเวณชุมทางของแม่น้ำ 3 สาย คือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสักและแม่น้ำลพบุรี จึงเป็นชุมทางสินค้าที่สำคัญทั้งจากดินแดนภายในและดินแดนภายนอก
    อาณาจักรอโยธยามีความเจริญรุ่งเรืองจากการค้าขาย เนื่องจากเป็นแหล่งชุมชนที่มีทางออกสู่ทะเลได้สะดวกประกอบกับมีชนหลายกลุ่ม หลายเผ่าพันธุ์ จากถิ่นต่างๆ และมีกษัตริย์จากหลายราชวงศ์ผลัดเปลี่ยนกันปกครอง วัฒนธรรมหลายอย่างได้รับการสืบทอดมาจากเมืองละโว้  ประชาชนของอาณาจักรอโยธยา ส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนาทั้งนิกายเถรวาท และมหายาน
    (อาจริยวาท)
    อาณาจักรอโยธยามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทางการเมือง และทางเครือญาติกับเมืองละโว้ และเมืองสุพรรณภูมิ ในตอนปลายพุทธศตวรรษที่ 19 ดินแดนแถบนี้มีจึงกำลังไพร่พลมากขึ้น สามารถรวมตัวกันก่อตั้งเป็นอาณาจักรอยุธยาในปี พ.ศ.1873
     อาณาจักรสุพรรณภูมิ 
                    อาณาจักรสุพรรณภูมิ คือ ดินแดนฟากตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา มีเมืองนครชัยศรี                     เป็นศูนย์กลางในสมัยทวารวดี ต่อมาเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 18 ได้มีการเปลี่ยนแปลงโยกย้ายศูนย์กลางการปกครองจากเมืองนครชัยศรีมาตั้งอยู่ที่เมืองสุพรรณภูมิหรือสุพรรณบุรี เนื่องจาก             เมืองสุพรรณภูมิมีสภาพที่เหมาะสมกว่า
    https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhUHU6v_2t31K-MBxWB_O7TL1RjPzx7OlU1zvNd0H3qtdI9vXi4ciiYcD_1EJIrROxO4E1hI4gYJxLLss9PSzYXmSPGlBvC1ySesU7Rqxf03DuO6S59TKyMQwm5dIMr-6JU2wZYyAGXm_U/s400/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B9%8C5.jpg 
    ปราสาทเมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี 
    ศิลปะการก่อสร้างสมัยลพบุรี อิทธิพลพระพุทธศาสนา 
    นิกายมหายานในอาณาจักรสุพรรณภูมิ 
    ที่มาภาพ   http://1.bp.blogspot.com/_4-0yhgtyycg/StfNqG8rINI/AAAAAAAABeo/6GwjDxmkACc/
    s400/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%
    AA%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B9%8C5.jpg
    พัฒนาการของการย้ายศูนย์กลางจากเมืองนครชัยศรีมาอยู่ที่เมืองสุพรรณภูมิ เพราะลำน้ำที่เป็นเส้นทางคมนาคมของเมืองนครชัยศรีตื้นเขิน ทำให้เรือสินค้าเข้าถึงได้ยาก  ส่วนเมืองสุพรรณภูมิตั้งอยู่ริมแม่น้ำสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นแม่น้ำใหญ่สามารถติดต่อกับอ่าวไทยได้สะดวก เอกสารจีนเรียกดินแดนของอาณาจักรสุพรรณภูมิว่า “เจนลีฟู”สุพรรณภูมิเป็นชุมชนที่เจริญเติบโตจากการค้าขายกับชาวจีน โดยพ่อค้าชาวจีนมาตั้งหลักแหล่งที่ไทย ในพุทธศตวรรษที่ 19 อาณาจักรสุพรรณภูมิ
    มีความรุ่งเรืองด้านเศรษฐกิจอย่างมาก บรรดาเมืองสำคัญของอาณาจักรสุพรรณภูมิ เช่น ราชบุรี เพชรบุรี มีแม่น้ำไหลผ่านเมืองสามารถใช้เป็นเส้นทางติดต่อกับดินแดนภายในและติดต่อทางทะเลได้สะดวก โดยเฉพาะเมืองเพชรบุรี เป็นเมืองท่าที่สำคัญที่สามารถคุมเส้นทางติดต่อกับอาณาจักรตามพรลิงค์ (นครศรีธรรมราช)
    อาณาจักรสุพรรณภูมิเติบโตระยะเวลาใกล้เคียงกับอาณาจักรอโยธยามีกษัตริย์ปกครองเช่นเดียวกับอาณาจักรอโยธยา ประชาชนในอาณาจักรสุพรรณภูมิให้การนับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทเป็นหลัก แต่จากการที่สุพรรณภูมิมีการติดต่ออย่างใกล้ชิดกับเมืองละโว้ (ลพบุรี) ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับกษัตริย์ขอมสันนิษฐานได้ว่า อาณาจักรสุพรรณภูมิมีที่ตั้งอยู่                คนละฟากแม่น้ำกับเมืองละโว้ อาจรับอิทธิพลทางศิลปกรรมและพระพุทธศาสนานิกายมหายานไว้ด้วย โดยสังเกตได้ว่าอิทธิพลของนิกายมหายานได้ปรากฏในหลายท้องถิ่นของอาณาจักรสุพรรณภูมิ เช่น การสร้างปราสาทเมืองสิงห์ที่จังหวัดกาญจนบุรีและการสร้างพระปรางค์ศิลปะสมัยลพบุรี  ที่วัดมหาธาตุ จังหวัดราชบุรี
    s0001 
    วัดมหาธาตุ จังหวัดราชบุรี 
    ที่มาภาพ   http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/942/37942images/s0001.jpg
           ธิดา  สาระยา. (2532). ทวารวดีประวัติศาสตร์ยุคต้นของสยามประเทศ. หน้า 47.
            ผ่องศรี  วนาสินและคณะ. (2523). การศึกษาตำแหน่งที่ตั้งและภูมิศาสตร์สัมพันธ์. หน้า 54 – 57.
            สุภัทรดิศ  ดิศกุล. (2522). ศิลปะในประเทศไทย. หน้า 6.
            แหล่งเดิม. หน้า 7.
           กรมศิลปากร. (2506). ประชุมพงศาวดารทวารวดี ประวัติศาสตร์ยุคต้นของสยามประเทศ. หน้า 28.
             ประชุมศิลาจารึกภาคที่ 2. (2524). จารึกทวารวดี, ศรีวิชัย, ละโว้. หน้า 7.
           ธนิต  อยู่โพธิ์. (2510). เรื่องน่ารู้ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ. หน้า 87.
           ดนัย  ไชยโยธา. (2550). ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย. หน้า 47 – 48.
           สุจิตต์  วงษ์เทศ. (2526). สุโขทัยไม่ใช่ราชธานีแห่งแรกของไทย. หน้า 39.
           ดนัย  ไชยโยธา. (2550). ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย. หน้า 49.
    อาณาจักรโบราณในดินแดนประเทศไทย ก่อนสมัยสุโขทัย
                    ประเทศไทยในปัจจุบัน ได้มีผู้คนหลายเผ่าพันธุ์ตั้งถิ่นฐาน อาศัยอยู่ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ สืบต่อเนื่องมาตามลำดับ นับเป็นระยะเวลาหลายพันปีมาแล้วโดยเริ่มจากชุมชนหมู่บ้าน ที่กระจายอยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำและบนที่ราบสูงมารวมตัวกันเป็นเมือง มีการติดต่อค้าขายกับชุมชนอื่น ๆ ทั้งภายในและภายนอก กลายเป็นเมืองท่าค้าขาย มีผู้คนย้ายมาตั้งถิ่นฐานมากขึ้น และได้มีพัฒนาเป็นอาณาจักร ตลอดจนได้ขยายอำนาจครอบคลุมอำนาจอื่น ต่างชิงความเป็นใหญ่ และตั้งเป็นอาณาจักรของตนเอง ได้แก่ อาณาจักรตามพรลิงค์ อาณาจักรโคตรบูร อาณาจักรขอม อาณาจักรทวารวดี อาณาจักรละโว้ อาณาจักรศรีวิชัย อาณาจักรเงินยางเชียงแสน อาณาจักรล้านนา อาณาจักรหริภุญชัย อาณาจักรอโยธยา และอาณาจักรสุพรรณภูมิ
    อาณาจักรโบราณในดินแดนภาคกลางของไทย
    อาณาจักรทวารวดี 
    อาณาจักรทวารดีเป็นอาณาจักรที่สำคัญอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งเคยมีความเจริญรุ่งเรืองอยู่ในดินแดนประเทศไทยในปัจจุบัน ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 11-16 มีความเจริญครอบคลุมไปยังดินแดนภาคเหนือ และภาคกลางของประเทศไทยในปัจจุบัน ตลอดจนถึงหัวเมืองมอญริมฝั่งทะเลอันดามัน โดยนักประวัติศาสตร์มีความเห็นเกี่ยวกับศูนย์กลางของอาณาจักรทวารวดีที่มีความแตกต่างกันแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
    กลุ่มที่ 1 เชื่อว่าอาณาจักรทวารวดีมีศูนย์กลางที่เมืองนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม
    กลุ่มที่ 2 เชื่อว่าอาณาจักรทวารวดีมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี
    กลุ่มที่ 3 เชื่อว่าอาณาจักรทวารวดีมีศูนย์กลางอยู่ที่ตำบลคูบัว จังหวัดราชบุรี
    จากข้อสันนิษฐานของนักประวัติศาสตร์ที่มีความแตกต่างกันออกไป เนื่องจากบริเวณ     ทั้ง  3 แห่ง พบร่องรอยเมืองโบราณ โบราณสถาน ศิลปวัตถุ สมัยทวารวดีเป็นจำนวนมาก เช่น พระพุทธรูป ลูกปัด เหรียญเงิน กงล้อรูปธรรมจักรกับกวางหมอบ ธรรมจักรศิลา ลายปูนปั้นนูนสตรีเล่นดนตรี 
    กลุ่มเมืองสำคัญเหล่านี้ล้วนเป็นดินแดนเขตชายฝั่งทะเลที่มีการติดต่อค้าขายทางทะเลกับอินเดีย จีน อาหรับ และเป็นแหล่งที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้านการเพาะปลูก จึงดึงดูดให้ผู้คนจากดินแดนภายนอก ตอนบนเคลื่อนย้ายลงมาตั้งหลักแหล่ง เป็นจำนวนมาก จึงทำให้เกิดเมืองใหญ่ๆ ขึ้นหลายเมือง นอกจากนั้นชุมชนแถบนี้ยังได้รับอิทธิพลจากอินเดีย ทางด้านศาสนา ศิลปวัฒนธรรม และแบบแผนการปกครอง โดยนำมาปรับให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนเอง อิทธิพล    ที่อินเดียส่งต่อมายังอาณาจักรทวารวดี ได้แก่
    1. พระพุทธศาสนา ซึ่งมีบทบาทเชื่อมโยงความแตกต่างทางเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ของกลุ่มชน ในดินแดนนี้ ให้ยึดถือในความเชื่อเดียวกัน
    2. กำหนดแบบแผนของกษัตริย์ที่ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์และส่งเสริมพระพุทธศาสนา
    3. มีการแบ่งชนชั้นทางสังคม ได้แก่ ชนชั้นปกครอง และชนชั้นใต้ปกครอง โดยพระสงฆ์เป็นผู้ปลูกฝังความเชื่อให้แก่ประชาชนใช้ภาษาบาลีประกาศคำสอนจากพระไตรปิฎก และใช้ภาษาสันสกฤต ในคำประกอบพิธีกรรม
    การนับถือศาสนา 
                    ประชาชนของอาณาจักรทวารวดีส่วนใหญ่ให้การนับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท
    ศิลปะสมัยทวารดี 
                    ศิลปะสมัยทวารวดีพบอยู่ในภาคกลางของประเทศไทย ได้แก่ นครปฐม สุพรรณบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี ราชบุรี ขึ้นไปจนถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เช่น ที่เมืองฟ้าแดดสงยาง จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้ค้นพบใบเสมา ศิลาสลักเป็นพระพุทธรูป พุทธประวัติ และชาดกต่าง ๆ
    ใบเสมาที่เมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง จ
    ใบเสมาสลักเรื่องพุทธประวัติที่เมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง จ.กาฬสินธุ์ 
    ที่มาภาพ  คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ .หน้า 32.
    กระปุกเหรียญสมัยทวารวดีและตัวอย่างของเหรียญ ซึ่งพบที่คอกช้างดิน เมืองเก่าอู่ทองแสดงถึงความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจเสาหินแปดเหลี่ยมซึ่งแสดงถึงลักษณะเด่นของศิลปกรรมสมัยทวารวดี
    Text Box: กระปุกเหรียญสมัยทวารวดีและตัวอย่าง               ของเหรียญ ซึ่งพบที่คอกช้างดิน เมืองเก่าอู่ทองแสดงถึงความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ  ที่มาภาพ  คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนประวัติศาสตร์        กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (หน้า 54)    Text Box: เสาหินแปดเหลี่ยมซึ่งแสดงถึงลักษณะเด่นของศิลปกรรมสมัยทวารวดี  ที่มาภาพ  คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนประวัติศาสตร์        กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (หน้า 53)
    ผลงานด้านศิลปะสมัยทวารวดี เกิดจากการสร้างสรรค์ทางศิลปะที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา โดยรับแบบพุทธศิลป์ของอินเดียมาผสมผสานกับคติความเชื่อในท้องถิ่นแล้วได้พัฒนามาเป็นลักษณะเฉพาะของตนเอง เป็นศิลปะสมัยทวารดีที่โดดเด่น และยังคงเหลือให้เห็น
    มีหลายด้าน ดังนี้
    ด้านสถาปัตยกรรม 
    ผลงานด้านสถาปัตยกรรมสมัยทวารวดีมักใช้การก่ออิฐถือปูน มีลายปูนปั้นประกอบ               ไม่นิยมก่ออิฐด้วยศิลาแลง รูปสัณฐานของเจดีย์ ฐานทำเป็นรูปสี่เหลี่ยม องค์สถูปทำเป็นรูประฆังคว่ำและมียอดเตี้ย เช่น พระปฐมเจดีย์องค์เดิม หรือเจดีย์วัดจุลปะโทน  จังหวัดนครปฐมและ              บางแบบทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมวางซ้อนกันขึ้นไปเป็นชั้น  แต่ละชั้นเจาะเป็นซุ้มสำหรับไว้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป  เช่น  เจดีย์วัดกู่กุด จังหวัดลำพูน


    http://www.baichaploo.com/dairy/prapathom.jpg
    พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม 
    ที่มาภาพ   http://www.baichaploo.com/dairy/prapathom.jpg
    https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjXwwZV4EJcprIoREpcQ93arPQUlfXQTZyzQzGTRgPCuhYVD41FTnSGjbdy2I6yVlQGXDDJZdY-8yZlmG4FG5jzE_H9kwaF0KI9iNhPxOE4NfXNFc3EALxUnAAIBKCVw20kaO8XOGFvAIZK/s400/13.bmp
    เจดีย์วัดกุดกู่ 
    ที่มาภาพ   https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjXwwZV4EJcprIoREpcQ93arPQUlfXQTZyzQzGTRgPCuhYVD41FTnSGjbdy2I6yVlQGXDDJZdY-8yZlmG4FG5jzE_H9kwaF0KI9iNhPxOE4NfXNFc3EALxUnAAIBKCVw20kaO8XOGFvAIZK/s400/13.bmp
    ด้านประติมากรรม 
    ผลงานด้านประติมากรรมสมัยทวารวดีที่สำคัญ ได้แก่ การสร้างพระพุทธรูปทำด้วยศิลา
    ลักษณะพระพักตร์มีขมวดพระเกศาใหญ่บางครั้งมีรัศมีเป็นรูปดอกบัวตูมอยู่เหนือพระเกตุมาลา  พระพักตร์แบน  พระขนงสลักเป็นเส้นนูนโค้งติดต่อเป็นรูปปีกกา  พระเนตรโปน  พระนาสิกแบน  พระโอษฐ์หนา จีวรบางติดกับพระองค์  พระบาทใหญ่ มักนิยมทำเป็นพระพุทธรูปปางปฐมเทศนาประทับนั่งห้อยพระบาท  เช่น  พระพุทธรูปสมัยทวารวดีที่วัดหน้าพระเมรุ  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  และที่ถ้ำฤๅษีเขางู  จังหวัดราชบุรี   นอกจากนั้นยังมีศิลาสลักรูปกงล้อ                   พระธรรมจักรกับกวางหมอบ รูปเหล่านี้หมายถึง   พระพุทธองค์ปางประทานปฐมเทศนา                    ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี และพบประติมากรรมดินเผาและรูปปั้นหลายชิ้นที่มีความงดงาม เช่น ภาพปูนปั้นสตรีเล่นดนตรี
    58t3http://nutcoco.exteen.comimages/image5.jpg
     
    236AC804
    พระพุทธรูปศิลาขาว ประทับนั่งห้อยพระบาทศิลปะทราวดี พุทธศตวรรษที่ 11-16
    บางแสดงเทศนา แสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา

    ที่มาภาพ  ประวัติศาสตร์เชิงวิเคราะห์ กรมวิชาการ. หน้า 138.
    อาณาจักรละโว้ 
    เมืองละโว้ เมื่อแรกก่อตั้งนั้น ปรากฏข้อความในพงศาวดารเหนือกล่าวว่า พระพุทธศักราช 1002 ปี จุลศักราช 10 ปีระกาสัมฤทธิศก จึงพระยากาฬวรรณดิศราชบุตรของพระยากากะพัตรได้เสวยราชสมบัติ เมืองตักกะศิลามหานคร จึงให้พราหมณ์ทั้งหลายยกพลไปสร้างเมืองละโว้ 
    จากข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในพงศาวดารเหนือ พอจะสรุปได้ว่าเมืองละโว้มีมาตั้งแต่ พ.ศ. 1002 แล้ว และจากการขุดค้นทางโบราณคดี ปรากฏว่าตั้งแต่อำเภอชัยบาดาล ถึงอำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี ล้วนแต่มีหลักฐานเกี่ยวกับมนุษย์ในอดีตที่ยาวนานมาแล้ว จากชุมชนขนาดย่อมขยายเป็นเมืองเล็กๆ จนกระทั่งรวมตัวกันเป็นอาณาจักรหรือเขตปกครองที่เป็นส่วนย่อยของประเทศ ราวพุทธศตวรรษที่ 10 – 12 ละโว้กลายเป็นอาณาจักรหรือเมืองขนาดใหญ่แล้ว และในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 – 14 อาณาจักรละโว้มีความรุ่งเรืองอย่างมาก โดยเฉพาะด้านพระพุทธศาสนา 
    อาณาจักรละโว้ มีความเจริญมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีอิทธิพลครอบคลุมดินแดนภาคกลางตอนบน ตั้งแต่จังหวัดนครสวรรค์เรื่อยมาจนถึงภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยบางส่วน ศูนย์กลางของอาณาจักรละโว้ในตอนต้นสันนิษฐานว่าอยู่ที่เมืองลพบุรี และประมาณพุทธศตวรรษที่ 17 ได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองอโยธยา ภายหลังต่อมาเมื่อใน พ.ศ.1893 ได้มีการสถาปนาอาณาจักรอยุธยาขึ้นนั้นให้ละโว้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยา
    http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/presentstu/course/others/wilaiporn/61.2.jpg               
    พระปรางค์สามยอด จังหวัดลพบุรี 
    แสดงให้เห็นอิทธิพลของศาสนาฮินดูและพระพุทธศาสนา
    ที่มาภาพ   http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/presentstu/course/others/wilaiporn/61.2.jpg
                            หลังจากพุทธศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา อาณาจักรขอมได้ขยายอิทธิพลเข้ามายัง
    บริเวณนี้  ทำให้ความสำคัญของอาณาจักรละโว้ลดลง อิทธิพลศิลปวัฒนธรรมของขอมได้แพร่เข้ามาในดินแดนประเทศไทย โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา  และเลยมาทางตะวันตกได้แก่ ปราสาทเมืองสิงห์                         จังหวัดกาญจนบุรี  และในช่วงเวลาดังกล่าวละโว้เป็นศูนย์กลางที่สำคัญทางภาคกลาง จึงได้รับอิทธิพลศิลปะขอม โดยนำมาผสมผสานรูปแบบให้เป็นลักษณะเฉพาะของตนเอง ได้แก่                                     พระปรางค์สามยอด  และเทวสถานปรางค์แขก จังหวัดลพบุรี
    http://2.bp.blogspot.com/_22ZmxOFy6cc/Se161kCEHxI/AAAAAAAAAIY/JC6M1ZkBB9w/s320/552000001584504.jpg
    เทวสถานปรางค์แขก จังหวัดลพบุรีที่มาภาพ  http://2.bp.blogspot.com/_22ZmxOFy6cc/Se161kCEHxI/AAAAAAAAAIY /JC6M1ZkBB9w/s320/
    552000001584504.jpg
    อาณาจักรอโยธยา
                    หลักฐานพงศาวดารเหนือกล่าว อาณาจักรอโยธยาได้พัฒนาขึ้นมาจากศูนย์กลาง    การปกครองเดิม ได้แก่  เมืองละโว้ เมืองอโยธยา ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำเบี้ยทางฝั่งตะวันออกของตัวเมืองพระนครศรีอยุธยาในปัจจุบัน การย้ายศูนย์กลางการปกครองจากเมืองละโว้มายังเมือง           อโยธยา นั้นเป็นช่วงเวลาที่มีการขยายตัวทางด้านการค้าทางทะเลโดยเฉพาะจีน  เพราะอาณาจักร
    อโยธยาอยู่ใกล้ทะเลกว่าละโว้และอยู่ในบริเวณชุมทางของแม่น้ำ 3 สาย คือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสักและแม่น้ำลพบุรี จึงเป็นชุมทางสินค้าที่สำคัญทั้งจากดินแดนภายในและดินแดนภายนอก
    อาณาจักรอโยธยามีความเจริญรุ่งเรืองจากการค้าขาย เนื่องจากเป็นแหล่งชุมชนที่มีทางออกสู่ทะเลได้สะดวกประกอบกับมีชนหลายกลุ่ม หลายเผ่าพันธุ์ จากถิ่นต่างๆ และมีกษัตริย์จากหลายราชวงศ์ผลัดเปลี่ยนกันปกครอง วัฒนธรรมหลายอย่างได้รับการสืบทอดมาจากเมืองละโว้  ประชาชนของอาณาจักรอโยธยา ส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนาทั้งนิกายเถรวาท และมหายาน
    (อาจริยวาท)
    อาณาจักรอโยธยามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทางการเมือง และทางเครือญาติกับเมืองละโว้ และเมืองสุพรรณภูมิ ในตอนปลายพุทธศตวรรษที่ 19 ดินแดนแถบนี้มีจึงกำลังไพร่พลมากขึ้น สามารถรวมตัวกันก่อตั้งเป็นอาณาจักรอยุธยาในปี พ.ศ.1873
     อาณาจักรสุพรรณภูมิ 
                    อาณาจักรสุพรรณภูมิ คือ ดินแดนฟากตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา มีเมืองนครชัยศรี                     เป็นศูนย์กลางในสมัยทวารวดี ต่อมาเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 18 ได้มีการเปลี่ยนแปลงโยกย้ายศูนย์กลางการปกครองจากเมืองนครชัยศรีมาตั้งอยู่ที่เมืองสุพรรณภูมิหรือสุพรรณบุรี เนื่องจาก             เมืองสุพรรณภูมิมีสภาพที่เหมาะสมกว่า
    https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhUHU6v_2t31K-MBxWB_O7TL1RjPzx7OlU1zvNd0H3qtdI9vXi4ciiYcD_1EJIrROxO4E1hI4gYJxLLss9PSzYXmSPGlBvC1ySesU7Rqxf03DuO6S59TKyMQwm5dIMr-6JU2wZYyAGXm_U/s400/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B9%8C5.jpg 
    ปราสาทเมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี 
    ศิลปะการก่อสร้างสมัยลพบุรี อิทธิพลพระพุทธศาสนา 
    นิกายมหายานในอาณาจักรสุพรรณภูมิ 
    ที่มาภาพ   http://1.bp.blogspot.com/_4-0yhgtyycg/StfNqG8rINI/AAAAAAAABeo/6GwjDxmkACc/
    s400/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%
    AA%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B9%8C5.jpg
    พัฒนาการของการย้ายศูนย์กลางจากเมืองนครชัยศรีมาอยู่ที่เมืองสุพรรณภูมิ เพราะลำน้ำที่เป็นเส้นทางคมนาคมของเมืองนครชัยศรีตื้นเขิน ทำให้เรือสินค้าเข้าถึงได้ยาก  ส่วนเมืองสุพรรณภูมิตั้งอยู่ริมแม่น้ำสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นแม่น้ำใหญ่สามารถติดต่อกับอ่าวไทยได้สะดวก เอกสารจีนเรียกดินแดนของอาณาจักรสุพรรณภูมิว่า “เจนลีฟู”สุพรรณภูมิเป็นชุมชนที่เจริญเติบโตจากการค้าขายกับชาวจีน โดยพ่อค้าชาวจีนมาตั้งหลักแหล่งที่ไทย ในพุทธศตวรรษที่ 19 อาณาจักรสุพรรณภูมิ
    มีความรุ่งเรืองด้านเศรษฐกิจอย่างมาก บรรดาเมืองสำคัญของอาณาจักรสุพรรณภูมิ เช่น ราชบุรี เพชรบุรี มีแม่น้ำไหลผ่านเมืองสามารถใช้เป็นเส้นทางติดต่อกับดินแดนภายในและติดต่อทางทะเลได้สะดวก โดยเฉพาะเมืองเพชรบุรี เป็นเมืองท่าที่สำคัญที่สามารถคุมเส้นทางติดต่อกับอาณาจักรตามพรลิงค์ (นครศรีธรรมราช)
    อาณาจักรสุพรรณภูมิเติบโตระยะเวลาใกล้เคียงกับอาณาจักรอโยธยามีกษัตริย์ปกครองเช่นเดียวกับอาณาจักรอโยธยา ประชาชนในอาณาจักรสุพรรณภูมิให้การนับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทเป็นหลัก แต่จากการที่สุพรรณภูมิมีการติดต่ออย่างใกล้ชิดกับเมืองละโว้ (ลพบุรี) ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับกษัตริย์ขอมสันนิษฐานได้ว่า อาณาจักรสุพรรณภูมิมีที่ตั้งอยู่                คนละฟากแม่น้ำกับเมืองละโว้ อาจรับอิทธิพลทางศิลปกรรมและพระพุทธศาสนานิกายมหายานไว้ด้วย โดยสังเกตได้ว่าอิทธิพลของนิกายมหายานได้ปรากฏในหลายท้องถิ่นของอาณาจักรสุพรรณภูมิ เช่น การสร้างปราสาทเมืองสิงห์ที่จังหวัดกาญจนบุรีและการสร้างพระปรางค์ศิลปะสมัยลพบุรี  ที่วัดมหาธาตุ จังหวัดราชบุรี
    s0001 
    วัดมหาธาตุ จังหวัดราชบุรี 
    ที่มาภาพ   http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/942/37942images/s0001.jpg
           ธิดา  สาระยา. (2532). ทวารวดีประวัติศาสตร์ยุคต้นของสยามประเทศ. หน้า 47.
            ผ่องศรี  วนาสินและคณะ. (2523). การศึกษาตำแหน่งที่ตั้งและภูมิศาสตร์สัมพันธ์. หน้า 54 – 57.
            สุภัทรดิศ  ดิศกุล. (2522). ศิลปะในประเทศไทย. หน้า 6.
            แหล่งเดิม. หน้า 7.
           กรมศิลปากร. (2506). ประชุมพงศาวดารทวารวดี ประวัติศาสตร์ยุคต้นของสยามประเทศ. หน้า 28.
             ประชุมศิลาจารึกภาคที่ 2. (2524). จารึกทวารวดี, ศรีวิชัย, ละโว้. หน้า 7.
           ธนิต  อยู่โพธิ์. (2510). เรื่องน่ารู้ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ. หน้า 87.
           ดนัย  ไชยโยธา. (2550). ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย. หน้า 47 – 48.
           สุจิตต์  วงษ์เทศ. (2526). สุโขทัยไม่ใช่ราชธานีแห่งแรกของไทย. หน้า 39.
           ดนัย  ไชยโยธา. (2550). ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย. หน้า 49.
    อาณาจักรโบราณในดินแดนประเทศไทย ก่อนสมัยสุโขทัย
                    ประเทศไทยในปัจจุบัน ได้มีผู้คนหลายเผ่าพันธุ์ตั้งถิ่นฐาน อาศัยอยู่ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ สืบต่อเนื่องมาตามลำดับ นับเป็นระยะเวลาหลายพันปีมาแล้วโดยเริ่มจากชุมชนหมู่บ้าน ที่กระจายอยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำและบนที่ราบสูงมารวมตัวกันเป็นเมือง มีการติดต่อค้าขายกับชุมชนอื่น ๆ ทั้งภายในและภายนอก กลายเป็นเมืองท่าค้าขาย มีผู้คนย้ายมาตั้งถิ่นฐานมากขึ้น และได้มีพัฒนาเป็นอาณาจักร ตลอดจนได้ขยายอำนาจครอบคลุมอำนาจอื่น ต่างชิงความเป็นใหญ่ และตั้งเป็นอาณาจักรของตนเอง ได้แก่ อาณาจักรตามพรลิงค์ อาณาจักรโคตรบูร อาณาจักรขอม อาณาจักรทวารวดี อาณาจักรละโว้ อาณาจักรศรีวิชัย อาณาจักรเงินยางเชียงแสน อาณาจักรล้านนา อาณาจักรหริภุญชัย อาณาจักรอโยธยา และอาณาจักรสุพรรณภูมิ
    อาณาจักรโบราณในดินแดนภาคกลางของไทย
    อาณาจักรทวารวดี 
    อาณาจักรทวารดีเป็นอาณาจักรที่สำคัญอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งเคยมีความเจริญรุ่งเรืองอยู่ในดินแดนประเทศไทยในปัจจุบัน ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 11-16 มีความเจริญครอบคลุมไปยังดินแดนภาคเหนือ และภาคกลางของประเทศไทยในปัจจุบัน ตลอดจนถึงหัวเมืองมอญริมฝั่งทะเลอันดามัน โดยนักประวัติศาสตร์มีความเห็นเกี่ยวกับศูนย์กลางของอาณาจักรทวารวดีที่มีความแตกต่างกันแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
    กลุ่มที่ 1 เชื่อว่าอาณาจักรทวารวดีมีศูนย์กลางที่เมืองนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม
    กลุ่มที่ 2 เชื่อว่าอาณาจักรทวารวดีมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี
    กลุ่มที่ 3 เชื่อว่าอาณาจักรทวารวดีมีศูนย์กลางอยู่ที่ตำบลคูบัว จังหวัดราชบุรี
    จากข้อสันนิษฐานของนักประวัติศาสตร์ที่มีความแตกต่างกันออกไป เนื่องจากบริเวณ     ทั้ง  3 แห่ง พบร่องรอยเมืองโบราณ โบราณสถาน ศิลปวัตถุ สมัยทวารวดีเป็นจำนวนมาก เช่น พระพุทธรูป ลูกปัด เหรียญเงิน กงล้อรูปธรรมจักรกับกวางหมอบ ธรรมจักรศิลา ลายปูนปั้นนูนสตรีเล่นดนตรี 
    กลุ่มเมืองสำคัญเหล่านี้ล้วนเป็นดินแดนเขตชายฝั่งทะเลที่มีการติดต่อค้าขายทางทะเลกับอินเดีย จีน อาหรับ และเป็นแหล่งที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้านการเพาะปลูก จึงดึงดูดให้ผู้คนจากดินแดนภายนอก ตอนบนเคลื่อนย้ายลงมาตั้งหลักแหล่ง เป็นจำนวนมาก จึงทำให้เกิดเมืองใหญ่ๆ ขึ้นหลายเมือง นอกจากนั้นชุมชนแถบนี้ยังได้รับอิทธิพลจากอินเดีย ทางด้านศาสนา ศิลปวัฒนธรรม และแบบแผนการปกครอง โดยนำมาปรับให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนเอง อิทธิพล    ที่อินเดียส่งต่อมายังอาณาจักรทวารวดี ได้แก่
    1. พระพุทธศาสนา ซึ่งมีบทบาทเชื่อมโยงความแตกต่างทางเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ของกลุ่มชน ในดินแดนนี้ ให้ยึดถือในความเชื่อเดียวกัน
    2. กำหนดแบบแผนของกษัตริย์ที่ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์และส่งเสริมพระพุทธศาสนา
    3. มีการแบ่งชนชั้นทางสังคม ได้แก่ ชนชั้นปกครอง และชนชั้นใต้ปกครอง โดยพระสงฆ์เป็นผู้ปลูกฝังความเชื่อให้แก่ประชาชนใช้ภาษาบาลีประกาศคำสอนจากพระไตรปิฎก และใช้ภาษาสันสกฤต ในคำประกอบพิธีกรรม
    การนับถือศาสนา 
                    ประชาชนของอาณาจักรทวารวดีส่วนใหญ่ให้การนับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท
    ศิลปะสมัยทวารดี 
                    ศิลปะสมัยทวารวดีพบอยู่ในภาคกลางของประเทศไทย ได้แก่ นครปฐม สุพรรณบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี ราชบุรี ขึ้นไปจนถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เช่น ที่เมืองฟ้าแดดสงยาง จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้ค้นพบใบเสมา ศิลาสลักเป็นพระพุทธรูป พุทธประวัติ และชาดกต่าง ๆ
    ใบเสมาที่เมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง จ
    ใบเสมาสลักเรื่องพุทธประวัติที่เมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง จ.กาฬสินธุ์ 
    ที่มาภาพ  คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ .หน้า 32.
    กระปุกเหรียญสมัยทวารวดีและตัวอย่างของเหรียญ ซึ่งพบที่คอกช้างดิน เมืองเก่าอู่ทองแสดงถึงความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจเสาหินแปดเหลี่ยมซึ่งแสดงถึงลักษณะเด่นของศิลปกรรมสมัยทวารวดี
    Text Box: กระปุกเหรียญสมัยทวารวดีและตัวอย่าง               ของเหรียญ ซึ่งพบที่คอกช้างดิน เมืองเก่าอู่ทองแสดงถึงความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ  ที่มาภาพ  คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนประวัติศาสตร์        กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (หน้า 54)    Text Box: เสาหินแปดเหลี่ยมซึ่งแสดงถึงลักษณะเด่นของศิลปกรรมสมัยทวารวดี  ที่มาภาพ  คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนประวัติศาสตร์        กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (หน้า 53)
    ผลงานด้านศิลปะสมัยทวารวดี เกิดจากการสร้างสรรค์ทางศิลปะที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา โดยรับแบบพุทธศิลป์ของอินเดียมาผสมผสานกับคติความเชื่อในท้องถิ่นแล้วได้พัฒนามาเป็นลักษณะเฉพาะของตนเอง เป็นศิลปะสมัยทวารดีที่โดดเด่น และยังคงเหลือให้เห็น
    มีหลายด้าน ดังนี้
    ด้านสถาปัตยกรรม 
    ผลงานด้านสถาปัตยกรรมสมัยทวารวดีมักใช้การก่ออิฐถือปูน มีลายปูนปั้นประกอบ               ไม่นิยมก่ออิฐด้วยศิลาแลง รูปสัณฐานของเจดีย์ ฐานทำเป็นรูปสี่เหลี่ยม องค์สถูปทำเป็นรูประฆังคว่ำและมียอดเตี้ย เช่น พระปฐมเจดีย์องค์เดิม หรือเจดีย์วัดจุลปะโทน  จังหวัดนครปฐมและ              บางแบบทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมวางซ้อนกันขึ้นไปเป็นชั้น  แต่ละชั้นเจาะเป็นซุ้มสำหรับไว้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป  เช่น  เจดีย์วัดกู่กุด จังหวัดลำพูน


    http://www.baichaploo.com/dairy/prapathom.jpg
    พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม 
    ที่มาภาพ   http://www.baichaploo.com/dairy/prapathom.jpg
    https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjXwwZV4EJcprIoREpcQ93arPQUlfXQTZyzQzGTRgPCuhYVD41FTnSGjbdy2I6yVlQGXDDJZdY-8yZlmG4FG5jzE_H9kwaF0KI9iNhPxOE4NfXNFc3EALxUnAAIBKCVw20kaO8XOGFvAIZK/s400/13.bmp
    เจดีย์วัดกุดกู่ 
    ที่มาภาพ   https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjXwwZV4EJcprIoREpcQ93arPQUlfXQTZyzQzGTRgPCuhYVD41FTnSGjbdy2I6yVlQGXDDJZdY-8yZlmG4FG5jzE_H9kwaF0KI9iNhPxOE4NfXNFc3EALxUnAAIBKCVw20kaO8XOGFvAIZK/s400/13.bmp
    ด้านประติมากรรม 
    ผลงานด้านประติมากรรมสมัยทวารวดีที่สำคัญ ได้แก่ การสร้างพระพุทธรูปทำด้วยศิลา
    ลักษณะพระพักตร์มีขมวดพระเกศาใหญ่บางครั้งมีรัศมีเป็นรูปดอกบัวตูมอยู่เหนือพระเกตุมาลา  พระพักตร์แบน  พระขนงสลักเป็นเส้นนูนโค้งติดต่อเป็นรูปปีกกา  พระเนตรโปน  พระนาสิกแบน  พระโอษฐ์หนา จีวรบางติดกับพระองค์  พระบาทใหญ่ มักนิยมทำเป็นพระพุทธรูปปางปฐมเทศนาประทับนั่งห้อยพระบาท  เช่น  พระพุทธรูปสมัยทวารวดีที่วัดหน้าพระเมรุ  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  และที่ถ้ำฤๅษีเขางู  จังหวัดราชบุรี   นอกจากนั้นยังมีศิลาสลักรูปกงล้อ                   พระธรรมจักรกับกวางหมอบ รูปเหล่านี้หมายถึง   พระพุทธองค์ปางประทานปฐมเทศนา                    ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี และพบประติมากรรมดินเผาและรูปปั้นหลายชิ้นที่มีความงดงาม เช่น ภาพปูนปั้นสตรีเล่นดนตรี
    58t3http://nutcoco.exteen.comimages/image5.jpg
     
    236AC804
    พระพุทธรูปศิลาขาว ประทับนั่งห้อยพระบาทศิลปะทราวดี พุทธศตวรรษที่ 11-16
    บางแสดงเทศนา แสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา

    ที่มาภาพ  ประวัติศาสตร์เชิงวิเคราะห์ กรมวิชาการ. หน้า 138.
    อาณาจักรละโว้ 
    เมืองละโว้ เมื่อแรกก่อตั้งนั้น ปรากฏข้อความในพงศาวดารเหนือกล่าวว่า พระพุทธศักราช 1002 ปี จุลศักราช 10 ปีระกาสัมฤทธิศก จึงพระยากาฬวรรณดิศราชบุตรของพระยากากะพัตรได้เสวยราชสมบัติ เมืองตักกะศิลามหานคร จึงให้พราหมณ์ทั้งหลายยกพลไปสร้างเมืองละโว้ 
    จากข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในพงศาวดารเหนือ พอจะสรุปได้ว่าเมืองละโว้มีมาตั้งแต่ พ.ศ. 1002 แล้ว และจากการขุดค้นทางโบราณคดี ปรากฏว่าตั้งแต่อำเภอชัยบาดาล ถึงอำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี ล้วนแต่มีหลักฐานเกี่ยวกับมนุษย์ในอดีตที่ยาวนานมาแล้ว จากชุมชนขนาดย่อมขยายเป็นเมืองเล็กๆ จนกระทั่งรวมตัวกันเป็นอาณาจักรหรือเขตปกครองที่เป็นส่วนย่อยของประเทศ ราวพุทธศตวรรษที่ 10 – 12 ละโว้กลายเป็นอาณาจักรหรือเมืองขนาดใหญ่แล้ว และในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 – 14 อาณาจักรละโว้มีความรุ่งเรืองอย่างมาก โดยเฉพาะด้านพระพุทธศาสนา 
    อาณาจักรละโว้ มีความเจริญมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีอิทธิพลครอบคลุมดินแดนภาคกลางตอนบน ตั้งแต่จังหวัดนครสวรรค์เรื่อยมาจนถึงภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยบางส่วน ศูนย์กลางของอาณาจักรละโว้ในตอนต้นสันนิษฐานว่าอยู่ที่เมืองลพบุรี และประมาณพุทธศตวรรษที่ 17 ได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองอโยธยา ภายหลังต่อมาเมื่อใน พ.ศ.1893 ได้มีการสถาปนาอาณาจักรอยุธยาขึ้นนั้นให้ละโว้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยา
    http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/presentstu/course/others/wilaiporn/61.2.jpg               
    พระปรางค์สามยอด จังหวัดลพบุรี 
    แสดงให้เห็นอิทธิพลของศาสนาฮินดูและพระพุทธศาสนา
    ที่มาภาพ   http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/presentstu/course/others/wilaiporn/61.2.jpg
                            หลังจากพุทธศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา อาณาจักรขอมได้ขยายอิทธิพลเข้ามายัง
    บริเวณนี้  ทำให้ความสำคัญของอาณาจักรละโว้ลดลง อิทธิพลศิลปวัฒนธรรมของขอมได้แพร่เข้ามาในดินแดนประเทศไทย โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา  และเลยมาทางตะวันตกได้แก่ ปราสาทเมืองสิงห์                         จังหวัดกาญจนบุรี  และในช่วงเวลาดังกล่าวละโว้เป็นศูนย์กลางที่สำคัญทางภาคกลาง จึงได้รับอิทธิพลศิลปะขอม โดยนำมาผสมผสานรูปแบบให้เป็นลักษณะเฉพาะของตนเอง ได้แก่                                     พระปรางค์สามยอด  และเทวสถานปรางค์แขก จังหวัดลพบุรี
    http://2.bp.blogspot.com/_22ZmxOFy6cc/Se161kCEHxI/AAAAAAAAAIY/JC6M1ZkBB9w/s320/552000001584504.jpg
    เทวสถานปรางค์แขก จังหวัดลพบุรีที่มาภาพ  http://2.bp.blogspot.com/_22ZmxOFy6cc/Se161kCEHxI/AAAAAAAAAIY /JC6M1ZkBB9w/s320/
    552000001584504.jpg
    อาณาจักรอโยธยา
                    หลักฐานพงศาวดารเหนือกล่าว อาณาจักรอโยธยาได้พัฒนาขึ้นมาจากศูนย์กลาง    การปกครองเดิม ได้แก่  เมืองละโว้ เมืองอโยธยา ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำเบี้ยทางฝั่งตะวันออกของตัวเมืองพระนครศรีอยุธยาในปัจจุบัน การย้ายศูนย์กลางการปกครองจากเมืองละโว้มายังเมือง           อโยธยา นั้นเป็นช่วงเวลาที่มีการขยายตัวทางด้านการค้าทางทะเลโดยเฉพาะจีน  เพราะอาณาจักร
    อโยธยาอยู่ใกล้ทะเลกว่าละโว้และอยู่ในบริเวณชุมทางของแม่น้ำ 3 สาย คือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสักและแม่น้ำลพบุรี จึงเป็นชุมทางสินค้าที่สำคัญทั้งจากดินแดนภายในและดินแดนภายนอก
    อาณาจักรอโยธยามีความเจริญรุ่งเรืองจากการค้าขาย เนื่องจากเป็นแหล่งชุมชนที่มีทางออกสู่ทะเลได้สะดวกประกอบกับมีชนหลายกลุ่ม หลายเผ่าพันธุ์ จากถิ่นต่างๆ และมีกษัตริย์จากหลายราชวงศ์ผลัดเปลี่ยนกันปกครอง วัฒนธรรมหลายอย่างได้รับการสืบทอดมาจากเมืองละโว้  ประชาชนของอาณาจักรอโยธยา ส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนาทั้งนิกายเถรวาท และมหายาน
    (อาจริยวาท)
    อาณาจักรอโยธยามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทางการเมือง และทางเครือญาติกับเมืองละโว้ และเมืองสุพรรณภูมิ ในตอนปลายพุทธศตวรรษที่ 19 ดินแดนแถบนี้มีจึงกำลังไพร่พลมากขึ้น สามารถรวมตัวกันก่อตั้งเป็นอาณาจักรอยุธยาในปี พ.ศ.1873
     อาณาจักรสุพรรณภูมิ 
                    อาณาจักรสุพรรณภูมิ คือ ดินแดนฟากตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา มีเมืองนครชัยศรี                     เป็นศูนย์กลางในสมัยทวารวดี ต่อมาเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 18 ได้มีการเปลี่ยนแปลงโยกย้ายศูนย์กลางการปกครองจากเมืองนครชัยศรีมาตั้งอยู่ที่เมืองสุพรรณภูมิหรือสุพรรณบุรี เนื่องจาก             เมืองสุพรรณภูมิมีสภาพที่เหมาะสมกว่า
    https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhUHU6v_2t31K-MBxWB_O7TL1RjPzx7OlU1zvNd0H3qtdI9vXi4ciiYcD_1EJIrROxO4E1hI4gYJxLLss9PSzYXmSPGlBvC1ySesU7Rqxf03DuO6S59TKyMQwm5dIMr-6JU2wZYyAGXm_U/s400/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B9%8C5.jpg 
    ปราสาทเมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี 
    ศิลปะการก่อสร้างสมัยลพบุรี อิทธิพลพระพุทธศาสนา 
    นิกายมหายานในอาณาจักรสุพรรณภูมิ 
    ที่มาภาพ   http://1.bp.blogspot.com/_4-0yhgtyycg/StfNqG8rINI/AAAAAAAABeo/6GwjDxmkACc/
    s400/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%
    AA%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B9%8C5.jpg
    พัฒนาการของการย้ายศูนย์กลางจากเมืองนครชัยศรีมาอยู่ที่เมืองสุพรรณภูมิ เพราะลำน้ำที่เป็นเส้นทางคมนาคมของเมืองนครชัยศรีตื้นเขิน ทำให้เรือสินค้าเข้าถึงได้ยาก  ส่วนเมืองสุพรรณภูมิตั้งอยู่ริมแม่น้ำสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นแม่น้ำใหญ่สามารถติดต่อกับอ่าวไทยได้สะดวก เอกสารจีนเรียกดินแดนของอาณาจักรสุพรรณภูมิว่า “เจนลีฟู”สุพรรณภูมิเป็นชุมชนที่เจริญเติบโตจากการค้าขายกับชาวจีน โดยพ่อค้าชาวจีนมาตั้งหลักแหล่งที่ไทย ในพุทธศตวรรษที่ 19 อาณาจักรสุพรรณภูมิ
    มีความรุ่งเรืองด้านเศรษฐกิจอย่างมาก บรรดาเมืองสำคัญของอาณาจักรสุพรรณภูมิ เช่น ราชบุรี เพชรบุรี มีแม่น้ำไหลผ่านเมืองสามารถใช้เป็นเส้นทางติดต่อกับดินแดนภายในและติดต่อทางทะเลได้สะดวก โดยเฉพาะเมืองเพชรบุรี เป็นเมืองท่าที่สำคัญที่สามารถคุมเส้นทางติดต่อกับอาณาจักรตามพรลิงค์ (นครศรีธรรมราช)
    อาณาจักรสุพรรณภูมิเติบโตระยะเวลาใกล้เคียงกับอาณาจักรอโยธยามีกษัตริย์ปกครองเช่นเดียวกับอาณาจักรอโยธยา ประชาชนในอาณาจักรสุพรรณภูมิให้การนับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทเป็นหลัก แต่จากการที่สุพรรณภูมิมีการติดต่ออย่างใกล้ชิดกับเมืองละโว้ (ลพบุรี) ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับกษัตริย์ขอมสันนิษฐานได้ว่า อาณาจักรสุพรรณภูมิมีที่ตั้งอยู่                คนละฟากแม่น้ำกับเมืองละโว้ อาจรับอิทธิพลทางศิลปกรรมและพระพุทธศาสนานิกายมหายานไว้ด้วย โดยสังเกตได้ว่าอิทธิพลของนิกายมหายานได้ปรากฏในหลายท้องถิ่นของอาณาจักรสุพรรณภูมิ เช่น การสร้างปราสาทเมืองสิงห์ที่จังหวัดกาญจนบุรีและการสร้างพระปรางค์ศิลปะสมัยลพบุรี  ที่วัดมหาธาตุ จังหวัดราชบุรี
    s0001 
    วัดมหาธาตุ จังหวัดราชบุรี 
    ที่มาภาพ   http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/942/37942images/s0001.jpg
           ธิดา  สาระยา. (2532). ทวารวดีประวัติศาสตร์ยุคต้นของสยามประเทศ. หน้า 47.
            ผ่องศรี  วนาสินและคณะ. (2523). การศึกษาตำแหน่งที่ตั้งและภูมิศาสตร์สัมพันธ์. หน้า 54 – 57.
            สุภัทรดิศ  ดิศกุล. (2522). ศิลปะในประเทศไทย. หน้า 6.
            แหล่งเดิม. หน้า 7.
           กรมศิลปากร. (2506). ประชุมพงศาวดารทวารวดี ประวัติศาสตร์ยุคต้นของสยามประเทศ. หน้า 28.
             ประชุมศิลาจารึกภาคที่ 2. (2524). จารึกทวารวดี, ศรีวิชัย, ละโว้. หน้า 7.
           ธนิต  อยู่โพธิ์. (2510). เรื่องน่ารู้ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ. หน้า 87.
           ดนัย  ไชยโยธา. (2550). ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย. หน้า 47 – 48.
           สุจิตต์  วงษ์เทศ. (2526). สุโขทัยไม่ใช่ราชธานีแห่งแรกของไทย. หน้า 39.
           ดนัย  ไชยโยธา. (2550). ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย. หน้า 49.
    อาณาจักรโบราณในดินแดนประเทศไทย ก่อนสมัยสุโขทัย
                    ประเทศไทยในปัจจุบัน ได้มีผู้คนหลายเผ่าพันธุ์ตั้งถิ่นฐาน อาศัยอยู่ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ สืบต่อเนื่องมาตามลำดับ นับเป็นระยะเวลาหลายพันปีมาแล้วโดยเริ่มจากชุมชนหมู่บ้าน ที่กระจายอยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำและบนที่ราบสูงมารวมตัวกันเป็นเมือง มีการติดต่อค้าขายกับชุมชนอื่น ๆ ทั้งภายในและภายนอก กลายเป็นเมืองท่าค้าขาย มีผู้คนย้ายมาตั้งถิ่นฐานมากขึ้น และได้มีพัฒนาเป็นอาณาจักร ตลอดจนได้ขยายอำนาจครอบคลุมอำนาจอื่น ต่างชิงความเป็นใหญ่ และตั้งเป็นอาณาจักรของตนเอง ได้แก่ อาณาจักรตามพรลิงค์ อาณาจักรโคตรบูร อาณาจักรขอม อาณาจักรทวารวดี อาณาจักรละโว้ อาณาจักรศรีวิชัย อาณาจักรเงินยางเชียงแสน อาณาจักรล้านนา อาณาจักรหริภุญชัย อาณาจักรอโยธยา และอาณาจักรสุพรรณภูมิ
    อาณาจักรโบราณในดินแดนภาคกลางของไทย
    อาณาจักรทวารวดี 
    อาณาจักรทวารดีเป็นอาณาจักรที่สำคัญอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งเคยมีความเจริญรุ่งเรืองอยู่ในดินแดนประเทศไทยในปัจจุบัน ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 11-16 มีความเจริญครอบคลุมไปยังดินแดนภาคเหนือ และภาคกลางของประเทศไทยในปัจจุบัน ตลอดจนถึงหัวเมืองมอญริมฝั่งทะเลอันดามัน โดยนักประวัติศาสตร์มีความเห็นเกี่ยวกับศูนย์กลางของอาณาจักรทวารวดีที่มีความแตกต่างกันแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
    กลุ่มที่ 1 เชื่อว่าอาณาจักรทวารวดีมีศูนย์กลางที่เมืองนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม
    กลุ่มที่ 2 เชื่อว่าอาณาจักรทวารวดีมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี
    กลุ่มที่ 3 เชื่อว่าอาณาจักรทวารวดีมีศูนย์กลางอยู่ที่ตำบลคูบัว จังหวัดราชบุรี
    จากข้อสันนิษฐานของนักประวัติศาสตร์ที่มีความแตกต่างกันออกไป เนื่องจากบริเวณ     ทั้ง  3 แห่ง พบร่องรอยเมืองโบราณ โบราณสถาน ศิลปวัตถุ สมัยทวารวดีเป็นจำนวนมาก เช่น พระพุทธรูป ลูกปัด เหรียญเงิน กงล้อรูปธรรมจักรกับกวางหมอบ ธรรมจักรศิลา ลายปูนปั้นนูนสตรีเล่นดนตรี 
    กลุ่มเมืองสำคัญเหล่านี้ล้วนเป็นดินแดนเขตชายฝั่งทะเลที่มีการติดต่อค้าขายทางทะเลกับอินเดีย จีน อาหรับ และเป็นแหล่งที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้านการเพาะปลูก จึงดึงดูดให้ผู้คนจากดินแดนภายนอก ตอนบนเคลื่อนย้ายลงมาตั้งหลักแหล่ง เป็นจำนวนมาก จึงทำให้เกิดเมืองใหญ่ๆ ขึ้นหลายเมือง นอกจากนั้นชุมชนแถบนี้ยังได้รับอิทธิพลจากอินเดีย ทางด้านศาสนา ศิลปวัฒนธรรม และแบบแผนการปกครอง โดยนำมาปรับให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนเอง อิทธิพล    ที่อินเดียส่งต่อมายังอาณาจักรทวารวดี ได้แก่
    1. พระพุทธศาสนา ซึ่งมีบทบาทเชื่อมโยงความแตกต่างทางเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ของกลุ่มชน ในดินแดนนี้ ให้ยึดถือในความเชื่อเดียวกัน
    2. กำหนดแบบแผนของกษัตริย์ที่ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์และส่งเสริมพระพุทธศาสนา
    3. มีการแบ่งชนชั้นทางสังคม ได้แก่ ชนชั้นปกครอง และชนชั้นใต้ปกครอง โดยพระสงฆ์เป็นผู้ปลูกฝังความเชื่อให้แก่ประชาชนใช้ภาษาบาลีประกาศคำสอนจากพระไตรปิฎก และใช้ภาษาสันสกฤต ในคำประกอบพิธีกรรม
    การนับถือศาสนา 
                    ประชาชนของอาณาจักรทวารวดีส่วนใหญ่ให้การนับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท
    ศิลปะสมัยทวารดี 
                    ศิลปะสมัยทวารวดีพบอยู่ในภาคกลางของประเทศไทย ได้แก่ นครปฐม สุพรรณบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี ราชบุรี ขึ้นไปจนถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เช่น ที่เมืองฟ้าแดดสงยาง จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้ค้นพบใบเสมา ศิลาสลักเป็นพระพุทธรูป พุทธประวัติ และชาดกต่าง ๆ
    ใบเสมาที่เมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง จ
    ใบเสมาสลักเรื่องพุทธประวัติที่เมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง จ.กาฬสินธุ์ 
    ที่มาภาพ  คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ .หน้า 32.
    กระปุกเหรียญสมัยทวารวดีและตัวอย่างของเหรียญ ซึ่งพบที่คอกช้างดิน เมืองเก่าอู่ทองแสดงถึงความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจเสาหินแปดเหลี่ยมซึ่งแสดงถึงลักษณะเด่นของศิลปกรรมสมัยทวารวดี
    Text Box: กระปุกเหรียญสมัยทวารวดีและตัวอย่าง               ของเหรียญ ซึ่งพบที่คอกช้างดิน เมืองเก่าอู่ทองแสดงถึงความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ  ที่มาภาพ  คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนประวัติศาสตร์        กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (หน้า 54)    Text Box: เสาหินแปดเหลี่ยมซึ่งแสดงถึงลักษณะเด่นของศิลปกรรมสมัยทวารวดี  ที่มาภาพ  คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนประวัติศาสตร์        กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (หน้า 53)
    ผลงานด้านศิลปะสมัยทวารวดี เกิดจากการสร้างสรรค์ทางศิลปะที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา โดยรับแบบพุทธศิลป์ของอินเดียมาผสมผสานกับคติความเชื่อในท้องถิ่นแล้วได้พัฒนามาเป็นลักษณะเฉพาะของตนเอง เป็นศิลปะสมัยทวารดีที่โดดเด่น และยังคงเหลือให้เห็น
    มีหลายด้าน ดังนี้
    ด้านสถาปัตยกรรม 
    ผลงานด้านสถาปัตยกรรมสมัยทวารวดีมักใช้การก่ออิฐถือปูน มีลายปูนปั้นประกอบ               ไม่นิยมก่ออิฐด้วยศิลาแลง รูปสัณฐานของเจดีย์ ฐานทำเป็นรูปสี่เหลี่ยม องค์สถูปทำเป็นรูประฆังคว่ำและมียอดเตี้ย เช่น พระปฐมเจดีย์องค์เดิม หรือเจดีย์วัดจุลปะโทน  จังหวัดนครปฐมและ              บางแบบทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมวางซ้อนกันขึ้นไปเป็นชั้น  แต่ละชั้นเจาะเป็นซุ้มสำหรับไว้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป  เช่น  เจดีย์วัดกู่กุด จังหวัดลำพูน


    http://www.baichaploo.com/dairy/prapathom.jpg
    พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม 
    ที่มาภาพ   http://www.baichaploo.com/dairy/prapathom.jpg
    https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjXwwZV4EJcprIoREpcQ93arPQUlfXQTZyzQzGTRgPCuhYVD41FTnSGjbdy2I6yVlQGXDDJZdY-8yZlmG4FG5jzE_H9kwaF0KI9iNhPxOE4NfXNFc3EALxUnAAIBKCVw20kaO8XOGFvAIZK/s400/13.bmp
    เจดีย์วัดกุดกู่ 
    ที่มาภาพ   https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjXwwZV4EJcprIoREpcQ93arPQUlfXQTZyzQzGTRgPCuhYVD41FTnSGjbdy2I6yVlQGXDDJZdY-8yZlmG4FG5jzE_H9kwaF0KI9iNhPxOE4NfXNFc3EALxUnAAIBKCVw20kaO8XOGFvAIZK/s400/13.bmp
    ด้านประติมากรรม 
    ผลงานด้านประติมากรรมสมัยทวารวดีที่สำคัญ ได้แก่ การสร้างพระพุทธรูปทำด้วยศิลา
    ลักษณะพระพักตร์มีขมวดพระเกศาใหญ่บางครั้งมีรัศมีเป็นรูปดอกบัวตูมอยู่เหนือพระเกตุมาลา  พระพักตร์แบน  พระขนงสลักเป็นเส้นนูนโค้งติดต่อเป็นรูปปีกกา  พระเนตรโปน  พระนาสิกแบน  พระโอษฐ์หนา จีวรบางติดกับพระองค์  พระบาทใหญ่ มักนิยมทำเป็นพระพุทธรูปปางปฐมเทศนาประทับนั่งห้อยพระบาท  เช่น  พระพุทธรูปสมัยทวารวดีที่วัดหน้าพระเมรุ  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  และที่ถ้ำฤๅษีเขางู  จังหวัดราชบุรี   นอกจากนั้นยังมีศิลาสลักรูปกงล้อ                   พระธรรมจักรกับกวางหมอบ รูปเหล่านี้หมายถึง   พระพุทธองค์ปางประทานปฐมเทศนา                    ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี และพบประติมากรรมดินเผาและรูปปั้นหลายชิ้นที่มีความงดงาม เช่น ภาพปูนปั้นสตรีเล่นดนตรี
    58t3http://nutcoco.exteen.comimages/image5.jpg
     
    236AC804
    พระพุทธรูปศิลาขาว ประทับนั่งห้อยพระบาทศิลปะทราวดี พุทธศตวรรษที่ 11-16
    บางแสดงเทศนา แสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา

    ที่มาภาพ  ประวัติศาสตร์เชิงวิเคราะห์ กรมวิชาการ. หน้า 138.
    อาณาจักรละโว้ 
    เมืองละโว้ เมื่อแรกก่อตั้งนั้น ปรากฏข้อความในพงศาวดารเหนือกล่าวว่า พระพุทธศักราช 1002 ปี จุลศักราช 10 ปีระกาสัมฤทธิศก จึงพระยากาฬวรรณดิศราชบุตรของพระยากากะพัตรได้เสวยราชสมบัติ เมืองตักกะศิลามหานคร จึงให้พราหมณ์ทั้งหลายยกพลไปสร้างเมืองละโว้ 
    จากข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในพงศาวดารเหนือ พอจะสรุปได้ว่าเมืองละโว้มีมาตั้งแต่ พ.ศ. 1002 แล้ว และจากการขุดค้นทางโบราณคดี ปรากฏว่าตั้งแต่อำเภอชัยบาดาล ถึงอำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี ล้วนแต่มีหลักฐานเกี่ยวกับมนุษย์ในอดีตที่ยาวนานมาแล้ว จากชุมชนขนาดย่อมขยายเป็นเมืองเล็กๆ จนกระทั่งรวมตัวกันเป็นอาณาจักรหรือเขตปกครองที่เป็นส่วนย่อยของประเทศ ราวพุทธศตวรรษที่ 10 – 12 ละโว้กลายเป็นอาณาจักรหรือเมืองขนาดใหญ่แล้ว และในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 – 14 อาณาจักรละโว้มีความรุ่งเรืองอย่างมาก โดยเฉพาะด้านพระพุทธศาสนา 
    อาณาจักรละโว้ มีความเจริญมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีอิทธิพลครอบคลุมดินแดนภาคกลางตอนบน ตั้งแต่จังหวัดนครสวรรค์เรื่อยมาจนถึงภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยบางส่วน ศูนย์กลางของอาณาจักรละโว้ในตอนต้นสันนิษฐานว่าอยู่ที่เมืองลพบุรี และประมาณพุทธศตวรรษที่ 17 ได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองอโยธยา ภายหลังต่อมาเมื่อใน พ.ศ.1893 ได้มีการสถาปนาอาณาจักรอยุธยาขึ้นนั้นให้ละโว้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยา
    http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/presentstu/course/others/wilaiporn/61.2.jpg               
    พระปรางค์สามยอด จังหวัดลพบุรี 
    แสดงให้เห็นอิทธิพลของศาสนาฮินดูและพระพุทธศาสนา
    ที่มาภาพ   http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/presentstu/course/others/wilaiporn/61.2.jpg
                            หลังจากพุทธศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา อาณาจักรขอมได้ขยายอิทธิพลเข้ามายัง
    บริเวณนี้  ทำให้ความสำคัญของอาณาจักรละโว้ลดลง อิทธิพลศิลปวัฒนธรรมของขอมได้แพร่เข้ามาในดินแดนประเทศไทย โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา  และเลยมาทางตะวันตกได้แก่ ปราสาทเมืองสิงห์                         จังหวัดกาญจนบุรี  และในช่วงเวลาดังกล่าวละโว้เป็นศูนย์กลางที่สำคัญทางภาคกลาง จึงได้รับอิทธิพลศิลปะขอม โดยนำมาผสมผสานรูปแบบให้เป็นลักษณะเฉพาะของตนเอง ได้แก่                                     พระปรางค์สามยอด  และเทวสถานปรางค์แขก จังหวัดลพบุรี
    http://2.bp.blogspot.com/_22ZmxOFy6cc/Se161kCEHxI/AAAAAAAAAIY/JC6M1ZkBB9w/s320/552000001584504.jpg
    เทวสถานปรางค์แขก จังหวัดลพบุรีที่มาภาพ  http://2.bp.blogspot.com/_22ZmxOFy6cc/Se161kCEHxI/AAAAAAAAAIY /JC6M1ZkBB9w/s320/
    552000001584504.jpg
    อาณาจักรอโยธยา
                    หลักฐานพงศาวดารเหนือกล่าว อาณาจักรอโยธยาได้พัฒนาขึ้นมาจากศูนย์กลาง    การปกครองเดิม ได้แก่  เมืองละโว้ เมืองอโยธยา ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำเบี้ยทางฝั่งตะวันออกของตัวเมืองพระนครศรีอยุธยาในปัจจุบัน การย้ายศูนย์กลางการปกครองจากเมืองละโว้มายังเมือง           อโยธยา นั้นเป็นช่วงเวลาที่มีการขยายตัวทางด้านการค้าทางทะเลโดยเฉพาะจีน  เพราะอาณาจักร
    อโยธยาอยู่ใกล้ทะเลกว่าละโว้และอยู่ในบริเวณชุมทางของแม่น้ำ 3 สาย คือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสักและแม่น้ำลพบุรี จึงเป็นชุมทางสินค้าที่สำคัญทั้งจากดินแดนภายในและดินแดนภายนอก
    อาณาจักรอโยธยามีความเจริญรุ่งเรืองจากการค้าขาย เนื่องจากเป็นแหล่งชุมชนที่มีทางออกสู่ทะเลได้สะดวกประกอบกับมีชนหลายกลุ่ม หลายเผ่าพันธุ์ จากถิ่นต่างๆ และมีกษัตริย์จากหลายราชวงศ์ผลัดเปลี่ยนกันปกครอง วัฒนธรรมหลายอย่างได้รับการสืบทอดมาจากเมืองละโว้  ประชาชนของอาณาจักรอโยธยา ส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนาทั้งนิกายเถรวาท และมหายาน
    (อาจริยวาท)
    อาณาจักรอโยธยามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทางการเมือง และทางเครือญาติกับเมืองละโว้ และเมืองสุพรรณภูมิ ในตอนปลายพุทธศตวรรษที่ 19 ดินแดนแถบนี้มีจึงกำลังไพร่พลมากขึ้น สามารถรวมตัวกันก่อตั้งเป็นอาณาจักรอยุธยาในปี พ.ศ.1873
     อาณาจักรสุพรรณภูมิ 
                    อาณาจักรสุพรรณภูมิ คือ ดินแดนฟากตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา มีเมืองนครชัยศรี                     เป็นศูนย์กลางในสมัยทวารวดี ต่อมาเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 18 ได้มีการเปลี่ยนแปลงโยกย้ายศูนย์กลางการปกครองจากเมืองนครชัยศรีมาตั้งอยู่ที่เมืองสุพรรณภูมิหรือสุพรรณบุรี เนื่องจาก             เมืองสุพรรณภูมิมีสภาพที่เหมาะสมกว่า
    https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhUHU6v_2t31K-MBxWB_O7TL1RjPzx7OlU1zvNd0H3qtdI9vXi4ciiYcD_1EJIrROxO4E1hI4gYJxLLss9PSzYXmSPGlBvC1ySesU7Rqxf03DuO6S59TKyMQwm5dIMr-6JU2wZYyAGXm_U/s400/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B9%8C5.jpg 
    ปราสาทเมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี 
    ศิลปะการก่อสร้างสมัยลพบุรี อิทธิพลพระพุทธศาสนา 
    นิกายมหายานในอาณาจักรสุพรรณภูมิ 
    ที่มาภาพ   http://1.bp.blogspot.com/_4-0yhgtyycg/StfNqG8rINI/AAAAAAAABeo/6GwjDxmkACc/
    s400/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%
    AA%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B9%8C5.jpg
    พัฒนาการของการย้ายศูนย์กลางจากเมืองนครชัยศรีมาอยู่ที่เมืองสุพรรณภูมิ เพราะลำน้ำที่เป็นเส้นทางคมนาคมของเมืองนครชัยศรีตื้นเขิน ทำให้เรือสินค้าเข้าถึงได้ยาก  ส่วนเมืองสุพรรณภูมิตั้งอยู่ริมแม่น้ำสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นแม่น้ำใหญ่สามารถติดต่อกับอ่าวไทยได้สะดวก เอกสารจีนเรียกดินแดนของอาณาจักรสุพรรณภูมิว่า “เจนลีฟู”สุพรรณภูมิเป็นชุมชนที่เจริญเติบโตจากการค้าขายกับชาวจีน โดยพ่อค้าชาวจีนมาตั้งหลักแหล่งที่ไทย ในพุทธศตวรรษที่ 19 อาณาจักรสุพรรณภูมิ
    มีความรุ่งเรืองด้านเศรษฐกิจอย่างมาก บรรดาเมืองสำคัญของอาณาจักรสุพรรณภูมิ เช่น ราชบุรี เพชรบุรี มีแม่น้ำไหลผ่านเมืองสามารถใช้เป็นเส้นทางติดต่อกับดินแดนภายในและติดต่อทางทะเลได้สะดวก โดยเฉพาะเมืองเพชรบุรี เป็นเมืองท่าที่สำคัญที่สามารถคุมเส้นทางติดต่อกับอาณาจักรตามพรลิงค์ (นครศรีธรรมราช)
    อาณาจักรสุพรรณภูมิเติบโตระยะเวลาใกล้เคียงกับอาณาจักรอโยธยามีกษัตริย์ปกครองเช่นเดียวกับอาณาจักรอโยธยา ประชาชนในอาณาจักรสุพรรณภูมิให้การนับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทเป็นหลัก แต่จากการที่สุพรรณภูมิมีการติดต่ออย่างใกล้ชิดกับเมืองละโว้ (ลพบุรี) ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับกษัตริย์ขอมสันนิษฐานได้ว่า อาณาจักรสุพรรณภูมิมีที่ตั้งอยู่                คนละฟากแม่น้ำกับเมืองละโว้ อาจรับอิทธิพลทางศิลปกรรมและพระพุทธศาสนานิกายมหายานไว้ด้วย โดยสังเกตได้ว่าอิทธิพลของนิกายมหายานได้ปรากฏในหลายท้องถิ่นของอาณาจักรสุพรรณภูมิ เช่น การสร้างปราสาทเมืองสิงห์ที่จังหวัดกาญจนบุรีและการสร้างพระปรางค์ศิลปะสมัยลพบุรี  ที่วัดมหาธาตุ จังหวัดราชบุรี
    s0001 
    วัดมหาธาตุ จังหวัดราชบุรี 
    ที่มาภาพ   http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/942/37942images/s0001.jpg
           ธิดา  สาระยา. (2532). ทวารวดีประวัติศาสตร์ยุคต้นของสยามประเทศ. หน้า 47.
            ผ่องศรี  วนาสินและคณะ. (2523). การศึกษาตำแหน่งที่ตั้งและภูมิศาสตร์สัมพันธ์. หน้า 54 – 57.
            สุภัทรดิศ  ดิศกุล. (2522). ศิลปะในประเทศไทย. หน้า 6.
            แหล่งเดิม. หน้า 7.
           กรมศิลปากร. (2506). ประชุมพงศาวดารทวารวดี ประวัติศาสตร์ยุคต้นของสยามประเทศ. หน้า 28.
             ประชุมศิลาจารึกภาคที่ 2. (2524). จารึกทวารวดี, ศรีวิชัย, ละโว้. หน้า 7.
           ธนิต  อยู่โพธิ์. (2510). เรื่องน่ารู้ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ. หน้า 87.
           ดนัย  ไชยโยธา. (2550). ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย. หน้า 47 – 48.
           สุจิตต์  วงษ์เทศ. (2526). สุโขทัยไม่ใช่ราชธานีแห่งแรกของไทย. หน้า 39.
           ดนัย  ไชยโยธา. (2550). ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย. หน้า 49.
    อาณาจักรโบราณในดินแดนประเทศไทย ก่อนสมัยสุโขทัย
                    ประเทศไทยในปัจจุบัน ได้มีผู้คนหลายเผ่าพันธุ์ตั้งถิ่นฐาน อาศัยอยู่ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ สืบต่อเนื่องมาตามลำดับ นับเป็นระยะเวลาหลายพันปีมาแล้วโดยเริ่มจากชุมชนหมู่บ้าน ที่กระจายอยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำและบนที่ราบสูงมารวมตัวกันเป็นเมือง มีการติดต่อค้าขายกับชุมชนอื่น ๆ ทั้งภายในและภายนอก กลายเป็นเมืองท่าค้าขาย มีผู้คนย้ายมาตั้งถิ่นฐานมากขึ้น และได้มีพัฒนาเป็นอาณาจักร ตลอดจนได้ขยายอำนาจครอบคลุมอำนาจอื่น ต่างชิงความเป็นใหญ่ และตั้งเป็นอาณาจักรของตนเอง ได้แก่ อาณาจักรตามพรลิงค์ อาณาจักรโคตรบูร อาณาจักรขอม อาณาจักรทวารวดี อาณาจักรละโว้ อาณาจักรศรีวิชัย อาณาจักรเงินยางเชียงแสน อาณาจักรล้านนา อาณาจักรหริภุญชัย อาณาจักรอโยธยา และอาณาจักรสุพรรณภูมิ
    อาณาจักรโบราณในดินแดนภาคกลางของไทย
    อาณาจักรทวารวดี 
    อาณาจักรทวารดีเป็นอาณาจักรที่สำคัญอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งเคยมีความเจริญรุ่งเรืองอยู่ในดินแดนประเทศไทยในปัจจุบัน ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 11-16 มีความเจริญครอบคลุมไปยังดินแดนภาคเหนือ และภาคกลางของประเทศไทยในปัจจุบัน ตลอดจนถึงหัวเมืองมอญริมฝั่งทะเลอันดามัน โดยนักประวัติศาสตร์มีความเห็นเกี่ยวกับศูนย์กลางของอาณาจักรทวารวดีที่มีความแตกต่างกันแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
    กลุ่มที่ 1 เชื่อว่าอาณาจักรทวารวดีมีศูนย์กลางที่เมืองนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม
    กลุ่มที่ 2 เชื่อว่าอาณาจักรทวารวดีมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี
    กลุ่มที่ 3 เชื่อว่าอาณาจักรทวารวดีมีศูนย์กลางอยู่ที่ตำบลคูบัว จังหวัดราชบุรี
    จากข้อสันนิษฐานของนักประวัติศาสตร์ที่มีความแตกต่างกันออกไป เนื่องจากบริเวณ     ทั้ง  3 แห่ง พบร่องรอยเมืองโบราณ โบราณสถาน ศิลปวัตถุ สมัยทวารวดีเป็นจำนวนมาก เช่น พระพุทธรูป ลูกปัด เหรียญเงิน กงล้อรูปธรรมจักรกับกวางหมอบ ธรรมจักรศิลา ลายปูนปั้นนูนสตรีเล่นดนตรี 
    กลุ่มเมืองสำคัญเหล่านี้ล้วนเป็นดินแดนเขตชายฝั่งทะเลที่มีการติดต่อค้าขายทางทะเลกับอินเดีย จีน อาหรับ และเป็นแหล่งที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้านการเพาะปลูก จึงดึงดูดให้ผู้คนจากดินแดนภายนอก ตอนบนเคลื่อนย้ายลงมาตั้งหลักแหล่ง เป็นจำนวนมาก จึงทำให้เกิดเมืองใหญ่ๆ ขึ้นหลายเมือง นอกจากนั้นชุมชนแถบนี้ยังได้รับอิทธิพลจากอินเดีย ทางด้านศาสนา ศิลปวัฒนธรรม และแบบแผนการปกครอง โดยนำมาปรับให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนเอง อิทธิพล    ที่อินเดียส่งต่อมายังอาณาจักรทวารวดี ได้แก่
    1. พระพุทธศาสนา ซึ่งมีบทบาทเชื่อมโยงความแตกต่างทางเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ของกลุ่มชน ในดินแดนนี้ ให้ยึดถือในความเชื่อเดียวกัน
    2. กำหนดแบบแผนของกษัตริย์ที่ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์และส่งเสริมพระพุทธศาสนา
    3. มีการแบ่งชนชั้นทางสังคม ได้แก่ ชนชั้นปกครอง และชนชั้นใต้ปกครอง โดยพระสงฆ์เป็นผู้ปลูกฝังความเชื่อให้แก่ประชาชนใช้ภาษาบาลีประกาศคำสอนจากพระไตรปิฎก และใช้ภาษาสันสกฤต ในคำประกอบพิธีกรรม
    การนับถือศาสนา 
                    ประชาชนของอาณาจักรทวารวดีส่วนใหญ่ให้การนับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท
    ศิลปะสมัยทวารดี 
                    ศิลปะสมัยทวารวดีพบอยู่ในภาคกลางของประเทศไทย ได้แก่ นครปฐม สุพรรณบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี ราชบุรี ขึ้นไปจนถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เช่น ที่เมืองฟ้าแดดสงยาง จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้ค้นพบใบเสมา ศิลาสลักเป็นพระพุทธรูป พุทธประวัติ และชาดกต่าง ๆ
    ใบเสมาที่เมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง จ
    ใบเสมาสลักเรื่องพุทธประวัติที่เมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง จ.กาฬสินธุ์ 
    ที่มาภาพ  คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ .หน้า 32.
    กระปุกเหรียญสมัยทวารวดีและตัวอย่างของเหรียญ ซึ่งพบที่คอกช้างดิน เมืองเก่าอู่ทองแสดงถึงความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจเสาหินแปดเหลี่ยมซึ่งแสดงถึงลักษณะเด่นของศิลปกรรมสมัยทวารวดี
    Text Box: กระปุกเหรียญสมัยทวารวดีและตัวอย่าง               ของเหรียญ ซึ่งพบที่คอกช้างดิน เมืองเก่าอู่ทองแสดงถึงความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ  ที่มาภาพ  คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนประวัติศาสตร์        กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (หน้า 54)    Text Box: เสาหินแปดเหลี่ยมซึ่งแสดงถึงลักษณะเด่นของศิลปกรรมสมัยทวารวดี  ที่มาภาพ  คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนประวัติศาสตร์        กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (หน้า 53)
    ผลงานด้านศิลปะสมัยทวารวดี เกิดจากการสร้างสรรค์ทางศิลปะที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา โดยรับแบบพุทธศิลป์ของอินเดียมาผสมผสานกับคติความเชื่อในท้องถิ่นแล้วได้พัฒนามาเป็นลักษณะเฉพาะของตนเอง เป็นศิลปะสมัยทวารดีที่โดดเด่น และยังคงเหลือให้เห็น
    มีหลายด้าน ดังนี้
    ด้านสถาปัตยกรรม 
    ผลงานด้านสถาปัตยกรรมสมัยทวารวดีมักใช้การก่ออิฐถือปูน มีลายปูนปั้นประกอบ               ไม่นิยมก่ออิฐด้วยศิลาแลง รูปสัณฐานของเจดีย์ ฐานทำเป็นรูปสี่เหลี่ยม องค์สถูปทำเป็นรูประฆังคว่ำและมียอดเตี้ย เช่น พระปฐมเจดีย์องค์เดิม หรือเจดีย์วัดจุลปะโทน  จังหวัดนครปฐมและ              บางแบบทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมวางซ้อนกันขึ้นไปเป็นชั้น  แต่ละชั้นเจาะเป็นซุ้มสำหรับไว้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป  เช่น  เจดีย์วัดกู่กุด จังหวัดลำพูน


    http://www.baichaploo.com/dairy/prapathom.jpg
    พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม 
    ที่มาภาพ   http://www.baichaploo.com/dairy/prapathom.jpg
    https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjXwwZV4EJcprIoREpcQ93arPQUlfXQTZyzQzGTRgPCuhYVD41FTnSGjbdy2I6yVlQGXDDJZdY-8yZlmG4FG5jzE_H9kwaF0KI9iNhPxOE4NfXNFc3EALxUnAAIBKCVw20kaO8XOGFvAIZK/s400/13.bmp
    เจดีย์วัดกุดกู่ 
    ที่มาภาพ   https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjXwwZV4EJcprIoREpcQ93arPQUlfXQTZyzQzGTRgPCuhYVD41FTnSGjbdy2I6yVlQGXDDJZdY-8yZlmG4FG5jzE_H9kwaF0KI9iNhPxOE4NfXNFc3EALxUnAAIBKCVw20kaO8XOGFvAIZK/s400/13.bmp
    ด้านประติมากรรม 
    ผลงานด้านประติมากรรมสมัยทวารวดีที่สำคัญ ได้แก่ การสร้างพระพุทธรูปทำด้วยศิลา
    ลักษณะพระพักตร์มีขมวดพระเกศาใหญ่บางครั้งมีรัศมีเป็นรูปดอกบัวตูมอยู่เหนือพระเกตุมาลา  พระพักตร์แบน  พระขนงสลักเป็นเส้นนูนโค้งติดต่อเป็นรูปปีกกา  พระเนตรโปน  พระนาสิกแบน  พระโอษฐ์หนา จีวรบางติดกับพระองค์  พระบาทใหญ่ มักนิยมทำเป็นพระพุทธรูปปางปฐมเทศนาประทับนั่งห้อยพระบาท  เช่น  พระพุทธรูปสมัยทวารวดีที่วัดหน้าพระเมรุ  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  และที่ถ้ำฤๅษีเขางู  จังหวัดราชบุรี   นอกจากนั้นยังมีศิลาสลักรูปกงล้อ                   พระธรรมจักรกับกวางหมอบ รูปเหล่านี้หมายถึง   พระพุทธองค์ปางประทานปฐมเทศนา                    ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี และพบประติมากรรมดินเผาและรูปปั้นหลายชิ้นที่มีความงดงาม เช่น ภาพปูนปั้นสตรีเล่นดนตรี
    58t3http://nutcoco.exteen.comimages/image5.jpg
     
    236AC804
    พระพุทธรูปศิลาขาว ประทับนั่งห้อยพระบาทศิลปะทราวดี พุทธศตวรรษที่ 11-16
    บางแสดงเทศนา แสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา

    ที่มาภาพ  ประวัติศาสตร์เชิงวิเคราะห์ กรมวิชาการ. หน้า 138.
    อาณาจักรละโว้ 
    เมืองละโว้ เมื่อแรกก่อตั้งนั้น ปรากฏข้อความในพงศาวดารเหนือกล่าวว่า พระพุทธศักราช 1002 ปี จุลศักราช 10 ปีระกาสัมฤทธิศก จึงพระยากาฬวรรณดิศราชบุตรของพระยากากะพัตรได้เสวยราชสมบัติ เมืองตักกะศิลามหานคร จึงให้พราหมณ์ทั้งหลายยกพลไปสร้างเมืองละโว้ 
    จากข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในพงศาวดารเหนือ พอจะสรุปได้ว่าเมืองละโว้มีมาตั้งแต่ พ.ศ. 1002 แล้ว และจากการขุดค้นทางโบราณคดี ปรากฏว่าตั้งแต่อำเภอชัยบาดาล ถึงอำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี ล้วนแต่มีหลักฐานเกี่ยวกับมนุษย์ในอดีตที่ยาวนานมาแล้ว จากชุมชนขนาดย่อมขยายเป็นเมืองเล็กๆ จนกระทั่งรวมตัวกันเป็นอาณาจักรหรือเขตปกครองที่เป็นส่วนย่อยของประเทศ ราวพุทธศตวรรษที่ 10 – 12 ละโว้กลายเป็นอาณาจักรหรือเมืองขนาดใหญ่แล้ว และในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 – 14 อาณาจักรละโว้มีความรุ่งเรืองอย่างมาก โดยเฉพาะด้านพระพุทธศาสนา 
    อาณาจักรละโว้ มีความเจริญมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีอิทธิพลครอบคลุมดินแดนภาคกลางตอนบน ตั้งแต่จังหวัดนครสวรรค์เรื่อยมาจนถึงภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยบางส่วน ศูนย์กลางของอาณาจักรละโว้ในตอนต้นสันนิษฐานว่าอยู่ที่เมืองลพบุรี และประมาณพุทธศตวรรษที่ 17 ได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองอโยธยา ภายหลังต่อมาเมื่อใน พ.ศ.1893 ได้มีการสถาปนาอาณาจักรอยุธยาขึ้นนั้นให้ละโว้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยา
    http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/presentstu/course/others/wilaiporn/61.2.jpg               
    พระปรางค์สามยอด จังหวัดลพบุรี 
    แสดงให้เห็นอิทธิพลของศาสนาฮินดูและพระพุทธศาสนา
    ที่มาภาพ   http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/presentstu/course/others/wilaiporn/61.2.jpg
                            หลังจากพุทธศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา อาณาจักรขอมได้ขยายอิทธิพลเข้ามายัง
    บริเวณนี้  ทำให้ความสำคัญของอาณาจักรละโว้ลดลง อิทธิพลศิลปวัฒนธรรมของขอมได้แพร่เข้ามาในดินแดนประเทศไทย โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา  และเลยมาทางตะวันตกได้แก่ ปราสาทเมืองสิงห์                         จังหวัดกาญจนบุรี  และในช่วงเวลาดังกล่าวละโว้เป็นศูนย์กลางที่สำคัญทางภาคกลาง จึงได้รับอิทธิพลศิลปะขอม โดยนำมาผสมผสานรูปแบบให้เป็นลักษณะเฉพาะของตนเอง ได้แก่                                     พระปรางค์สามยอด  และเทวสถานปรางค์แขก จังหวัดลพบุรี
    http://2.bp.blogspot.com/_22ZmxOFy6cc/Se161kCEHxI/AAAAAAAAAIY/JC6M1ZkBB9w/s320/552000001584504.jpg
    เทวสถานปรางค์แขก จังหวัดลพบุรีที่มาภาพ  http://2.bp.blogspot.com/_22ZmxOFy6cc/Se161kCEHxI/AAAAAAAAAIY /JC6M1ZkBB9w/s320/
    552000001584504.jpg
    อาณาจักรอโยธยา
                    หลักฐานพงศาวดารเหนือกล่าว อาณาจักรอโยธยาได้พัฒนาขึ้นมาจากศูนย์กลาง    การปกครองเดิม ได้แก่  เมืองละโว้ เมืองอโยธยา ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำเบี้ยทางฝั่งตะวันออกของตัวเมืองพระนครศรีอยุธยาในปัจจุบัน การย้ายศูนย์กลางการปกครองจากเมืองละโว้มายังเมือง           อโยธยา นั้นเป็นช่วงเวลาที่มีการขยายตัวทางด้านการค้าทางทะเลโดยเฉพาะจีน  เพราะอาณาจักร
    อโยธยาอยู่ใกล้ทะเลกว่าละโว้และอยู่ในบริเวณชุมทางของแม่น้ำ 3 สาย คือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสักและแม่น้ำลพบุรี จึงเป็นชุมทางสินค้าที่สำคัญทั้งจากดินแดนภายในและดินแดนภายนอก
    อาณาจักรอโยธยามีความเจริญรุ่งเรืองจากการค้าขาย เนื่องจากเป็นแหล่งชุมชนที่มีทางออกสู่ทะเลได้สะดวกประกอบกับมีชนหลายกลุ่ม หลายเผ่าพันธุ์ จากถิ่นต่างๆ และมีกษัตริย์จากหลายราชวงศ์ผลัดเปลี่ยนกันปกครอง วัฒนธรรมหลายอย่างได้รับการสืบทอดมาจากเมืองละโว้  ประชาชนของอาณาจักรอโยธยา ส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนาทั้งนิกายเถรวาท และมหายาน
    (อาจริยวาท)
    อาณาจักรอโยธยามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทางการเมือง และทางเครือญาติกับเมืองละโว้ และเมืองสุพรรณภูมิ ในตอนปลายพุทธศตวรรษที่ 19 ดินแดนแถบนี้มีจึงกำลังไพร่พลมากขึ้น สามารถรวมตัวกันก่อตั้งเป็นอาณาจักรอยุธยาในปี พ.ศ.1873
     อาณาจักรสุพรรณภูมิ 
                    อาณาจักรสุพรรณภูมิ คือ ดินแดนฟากตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา มีเมืองนครชัยศรี                     เป็นศูนย์กลางในสมัยทวารวดี ต่อมาเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 18 ได้มีการเปลี่ยนแปลงโยกย้ายศูนย์กลางการปกครองจากเมืองนครชัยศรีมาตั้งอยู่ที่เมืองสุพรรณภูมิหรือสุพรรณบุรี เนื่องจาก             เมืองสุพรรณภูมิมีสภาพที่เหมาะสมกว่า
    https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhUHU6v_2t31K-MBxWB_O7TL1RjPzx7OlU1zvNd0H3qtdI9vXi4ciiYcD_1EJIrROxO4E1hI4gYJxLLss9PSzYXmSPGlBvC1ySesU7Rqxf03DuO6S59TKyMQwm5dIMr-6JU2wZYyAGXm_U/s400/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B9%8C5.jpg 
    ปราสาทเมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี 
    ศิลปะการก่อสร้างสมัยลพบุรี อิทธิพลพระพุทธศาสนา 
    นิกายมหายานในอาณาจักรสุพรรณภูมิ 
    ที่มาภาพ   http://1.bp.blogspot.com/_4-0yhgtyycg/StfNqG8rINI/AAAAAAAABeo/6GwjDxmkACc/
    s400/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%
    AA%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B9%8C5.jpg
    พัฒนาการของการย้ายศูนย์กลางจากเมืองนครชัยศรีมาอยู่ที่เมืองสุพรรณภูมิ เพราะลำน้ำที่เป็นเส้นทางคมนาคมของเมืองนครชัยศรีตื้นเขิน ทำให้เรือสินค้าเข้าถึงได้ยาก  ส่วนเมืองสุพรรณภูมิตั้งอยู่ริมแม่น้ำสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นแม่น้ำใหญ่สามารถติดต่อกับอ่าวไทยได้สะดวก เอกสารจีนเรียกดินแดนของอาณาจักรสุพรรณภูมิว่า “เจนลีฟู”สุพรรณภูมิเป็นชุมชนที่เจริญเติบโตจากการค้าขายกับชาวจีน โดยพ่อค้าชาวจีนมาตั้งหลักแหล่งที่ไทย ในพุทธศตวรรษที่ 19 อาณาจักรสุพรรณภูมิ
    มีความรุ่งเรืองด้านเศรษฐกิจอย่างมาก บรรดาเมืองสำคัญของอาณาจักรสุพรรณภูมิ เช่น ราชบุรี เพชรบุรี มีแม่น้ำไหลผ่านเมืองสามารถใช้เป็นเส้นทางติดต่อกับดินแดนภายในและติดต่อทางทะเลได้สะดวก โดยเฉพาะเมืองเพชรบุรี เป็นเมืองท่าที่สำคัญที่สามารถคุมเส้นทางติดต่อกับอาณาจักรตามพรลิงค์ (นครศรีธรรมราช)
    อาณาจักรสุพรรณภูมิเติบโตระยะเวลาใกล้เคียงกับอาณาจักรอโยธยามีกษัตริย์ปกครองเช่นเดียวกับอาณาจักรอโยธยา ประชาชนในอาณาจักรสุพรรณภูมิให้การนับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทเป็นหลัก แต่จากการที่สุพรรณภูมิมีการติดต่ออย่างใกล้ชิดกับเมืองละโว้ (ลพบุรี) ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับกษัตริย์ขอมสันนิษฐานได้ว่า อาณาจักรสุพรรณภูมิมีที่ตั้งอยู่                คนละฟากแม่น้ำกับเมืองละโว้ อาจรับอิทธิพลทางศิลปกรรมและพระพุทธศาสนานิกายมหายานไว้ด้วย โดยสังเกตได้ว่าอิทธิพลของนิกายมหายานได้ปรากฏในหลายท้องถิ่นของอาณาจักรสุพรรณภูมิ เช่น การสร้างปราสาทเมืองสิงห์ที่จังหวัดกาญจนบุรีและการสร้างพระปรางค์ศิลปะสมัยลพบุรี  ที่วัดมหาธาตุ จังหวัดราชบุรี
    s0001 
    วัดมหาธาตุ จังหวัดราชบุรี 
    ที่มาภาพ   http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/942/37942images/s0001.jpg
           ธิดา  สาระยา. (2532). ทวารวดีประวัติศาสตร์ยุคต้นของสยามประเทศ. หน้า 47.
            ผ่องศรี  วนาสินและคณะ. (2523). การศึกษาตำแหน่งที่ตั้งและภูมิศาสตร์สัมพันธ์. หน้า 54 – 57.
            สุภัทรดิศ  ดิศกุล. (2522). ศิลปะในประเทศไทย. หน้า 6.
            แหล่งเดิม. หน้า 7.
           กรมศิลปากร. (2506). ประชุมพงศาวดารทวารวดี ประวัติศาสตร์ยุคต้นของสยามประเทศ. หน้า 28.
             ประชุมศิลาจารึกภาคที่ 2. (2524). จารึกทวารวดี, ศรีวิชัย, ละโว้. หน้า 7.
           ธนิต  อยู่โพธิ์. (2510). เรื่องน่ารู้ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ. หน้า 87.
           ดนัย  ไชยโยธา. (2550). ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย. หน้า 47 – 48.
           สุจิตต์  วงษ์เทศ. (2526). สุโขทัยไม่ใช่ราชธานีแห่งแรกของไทย. หน้า 39.
           ดนัย  ไชยโยธา. (2550). ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย. หน้า 49.
    อาณาจักรโบราณในดินแดนประเทศไทย ก่อนสมัยสุโขทัย
                    ประเทศไทยในปัจจุบัน ได้มีผู้คนหลายเผ่าพันธุ์ตั้งถิ่นฐาน อาศัยอยู่ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ สืบต่อเนื่องมาตามลำดับ นับเป็นระยะเวลาหลายพันปีมาแล้วโดยเริ่มจากชุมชนหมู่บ้าน ที่กระจายอยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำและบนที่ราบสูงมารวมตัวกันเป็นเมือง มีการติดต่อค้าขายกับชุมชนอื่น ๆ ทั้งภายในและภายนอก กลายเป็นเมืองท่าค้าขาย มีผู้คนย้ายมาตั้งถิ่นฐานมากขึ้น และได้มีพัฒนาเป็นอาณาจักร ตลอดจนได้ขยายอำนาจครอบคลุมอำนาจอื่น ต่างชิงความเป็นใหญ่ และตั้งเป็นอาณาจักรของตนเอง ได้แก่ อาณาจักรตามพรลิงค์ อาณาจักรโคตรบูร อาณาจักรขอม อาณาจักรทวารวดี อาณาจักรละโว้ อาณาจักรศรีวิชัย อาณาจักรเงินยางเชียงแสน อาณาจักรล้านนา อาณาจักรหริภุญชัย อาณาจักรอโยธยา และอาณาจักรสุพรรณภูมิ
    อาณาจักรโบราณในดินแดนภาคกลางของไทย
    อาณาจักรทวารวดี 
    อาณาจักรทวารดีเป็นอาณาจักรที่สำคัญอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งเคยมีความเจริญรุ่งเรืองอยู่ในดินแดนประเทศไทยในปัจจุบัน ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 11-16 มีความเจริญครอบคลุมไปยังดินแดนภาคเหนือ และภาคกลางของประเทศไทยในปัจจุบัน ตลอดจนถึงหัวเมืองมอญริมฝั่งทะเลอันดามัน โดยนักประวัติศาสตร์มีความเห็นเกี่ยวกับศูนย์กลางของอาณาจักรทวารวดีที่มีความแตกต่างกันแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
    กลุ่มที่ 1 เชื่อว่าอาณาจักรทวารวดีมีศูนย์กลางที่เมืองนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม
    กลุ่มที่ 2 เชื่อว่าอาณาจักรทวารวดีมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี
    กลุ่มที่ 3 เชื่อว่าอาณาจักรทวารวดีมีศูนย์กลางอยู่ที่ตำบลคูบัว จังหวัดราชบุรี
    จากข้อสันนิษฐานของนักประวัติศาสตร์ที่มีความแตกต่างกันออกไป เนื่องจากบริเวณ     ทั้ง  3 แห่ง พบร่องรอยเมืองโบราณ โบราณสถาน ศิลปวัตถุ สมัยทวารวดีเป็นจำนวนมาก เช่น พระพุทธรูป ลูกปัด เหรียญเงิน กงล้อรูปธรรมจักรกับกวางหมอบ ธรรมจักรศิลา ลายปูนปั้นนูนสตรีเล่นดนตรี 
    กลุ่มเมืองสำคัญเหล่านี้ล้วนเป็นดินแดนเขตชายฝั่งทะเลที่มีการติดต่อค้าขายทางทะเลกับอินเดีย จีน อาหรับ และเป็นแหล่งที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้านการเพาะปลูก จึงดึงดูดให้ผู้คนจากดินแดนภายนอก ตอนบนเคลื่อนย้ายลงมาตั้งหลักแหล่ง เป็นจำนวนมาก จึงทำให้เกิดเมืองใหญ่ๆ ขึ้นหลายเมือง นอกจากนั้นชุมชนแถบนี้ยังได้รับอิทธิพลจากอินเดีย ทางด้านศาสนา ศิลปวัฒนธรรม และแบบแผนการปกครอง โดยนำมาปรับให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนเอง อิทธิพล    ที่อินเดียส่งต่อมายังอาณาจักรทวารวดี ได้แก่
    1. พระพุทธศาสนา ซึ่งมีบทบาทเชื่อมโยงความแตกต่างทางเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ของกลุ่มชน ในดินแดนนี้ ให้ยึดถือในความเชื่อเดียวกัน
    2. กำหนดแบบแผนของกษัตริย์ที่ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์และส่งเสริมพระพุทธศาสนา
    3. มีการแบ่งชนชั้นทางสังคม ได้แก่ ชนชั้นปกครอง และชนชั้นใต้ปกครอง โดยพระสงฆ์เป็นผู้ปลูกฝังความเชื่อให้แก่ประชาชนใช้ภาษาบาลีประกาศคำสอนจากพระไตรปิฎก และใช้ภาษาสันสกฤต ในคำประกอบพิธีกรรม
    การนับถือศาสนา 
                    ประชาชนของอาณาจักรทวารวดีส่วนใหญ่ให้การนับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท
    ศิลปะสมัยทวารดี 
                    ศิลปะสมัยทวารวดีพบอยู่ในภาคกลางของประเทศไทย ได้แก่ นครปฐม สุพรรณบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี ราชบุรี ขึ้นไปจนถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เช่น ที่เมืองฟ้าแดดสงยาง จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้ค้นพบใบเสมา ศิลาสลักเป็นพระพุทธรูป พุทธประวัติ และชาดกต่าง ๆ
    ใบเสมาที่เมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง จ
    ใบเสมาสลักเรื่องพุทธประวัติที่เมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง จ.กาฬสินธุ์ 
    ที่มาภาพ  คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ .หน้า 32.
    กระปุกเหรียญสมัยทวารวดีและตัวอย่างของเหรียญ ซึ่งพบที่คอกช้างดิน เมืองเก่าอู่ทองแสดงถึงความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจเสาหินแปดเหลี่ยมซึ่งแสดงถึงลักษณะเด่นของศิลปกรรมสมัยทวารวดี
    Text Box: กระปุกเหรียญสมัยทวารวดีและตัวอย่าง               ของเหรียญ ซึ่งพบที่คอกช้างดิน เมืองเก่าอู่ทองแสดงถึงความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ  ที่มาภาพ  คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนประวัติศาสตร์        กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (หน้า 54)    Text Box: เสาหินแปดเหลี่ยมซึ่งแสดงถึงลักษณะเด่นของศิลปกรรมสมัยทวารวดี  ที่มาภาพ  คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนประวัติศาสตร์        กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (หน้า 53)
    ผลงานด้านศิลปะสมัยทวารวดี เกิดจากการสร้างสรรค์ทางศิลปะที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา โดยรับแบบพุทธศิลป์ของอินเดียมาผสมผสานกับคติความเชื่อในท้องถิ่นแล้วได้พัฒนามาเป็นลักษณะเฉพาะของตนเอง เป็นศิลปะสมัยทวารดีที่โดดเด่น และยังคงเหลือให้เห็น
    มีหลายด้าน ดังนี้
    ด้านสถาปัตยกรรม 
    ผลงานด้านสถาปัตยกรรมสมัยทวารวดีมักใช้การก่ออิฐถือปูน มีลายปูนปั้นประกอบ               ไม่นิยมก่ออิฐด้วยศิลาแลง รูปสัณฐานของเจดีย์ ฐานทำเป็นรูปสี่เหลี่ยม องค์สถูปทำเป็นรูประฆังคว่ำและมียอดเตี้ย เช่น พระปฐมเจดีย์องค์เดิม หรือเจดีย์วัดจุลปะโทน  จังหวัดนครปฐมและ              บางแบบทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมวางซ้อนกันขึ้นไปเป็นชั้น  แต่ละชั้นเจาะเป็นซุ้มสำหรับไว้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป  เช่น  เจดีย์วัดกู่กุด จังหวัดลำพูน


    http://www.baichaploo.com/dairy/prapathom.jpg
    พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม 
    ที่มาภาพ   http://www.baichaploo.com/dairy/prapathom.jpg
    https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjXwwZV4EJcprIoREpcQ93arPQUlfXQTZyzQzGTRgPCuhYVD41FTnSGjbdy2I6yVlQGXDDJZdY-8yZlmG4FG5jzE_H9kwaF0KI9iNhPxOE4NfXNFc3EALxUnAAIBKCVw20kaO8XOGFvAIZK/s400/13.bmp
    เจดีย์วัดกุดกู่ 
    ที่มาภาพ   https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjXwwZV4EJcprIoREpcQ93arPQUlfXQTZyzQzGTRgPCuhYVD41FTnSGjbdy2I6yVlQGXDDJZdY-8yZlmG4FG5jzE_H9kwaF0KI9iNhPxOE4NfXNFc3EALxUnAAIBKCVw20kaO8XOGFvAIZK/s400/13.bmp
    ด้านประติมากรรม 
    ผลงานด้านประติมากรรมสมัยทวารวดีที่สำคัญ ได้แก่ การสร้างพระพุทธรูปทำด้วยศิลา
    ลักษณะพระพักตร์มีขมวดพระเกศาใหญ่บางครั้งมีรัศมีเป็นรูปดอกบัวตูมอยู่เหนือพระเกตุมาลา  พระพักตร์แบน  พระขนงสลักเป็นเส้นนูนโค้งติดต่อเป็นรูปปีกกา  พระเนตรโปน  พระนาสิกแบน  พระโอษฐ์หนา จีวรบางติดกับพระองค์  พระบาทใหญ่ มักนิยมทำเป็นพระพุทธรูปปางปฐมเทศนาประทับนั่งห้อยพระบาท  เช่น  พระพุทธรูปสมัยทวารวดีที่วัดหน้าพระเมรุ  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  และที่ถ้ำฤๅษีเขางู  จังหวัดราชบุรี   นอกจากนั้นยังมีศิลาสลักรูปกงล้อ                   พระธรรมจักรกับกวางหมอบ รูปเหล่านี้หมายถึง   พระพุทธองค์ปางประทานปฐมเทศนา                    ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี และพบประติมากรรมดินเผาและรูปปั้นหลายชิ้นที่มีความงดงาม เช่น ภาพปูนปั้นสตรีเล่นดนตรี
    58t3http://nutcoco.exteen.comimages/image5.jpg
     
    236AC804
    พระพุทธรูปศิลาขาว ประทับนั่งห้อยพระบาทศิลปะทราวดี พุทธศตวรรษที่ 11-16
    บางแสดงเทศนา แสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา

    ที่มาภาพ  ประวัติศาสตร์เชิงวิเคราะห์ กรมวิชาการ. หน้า 138.
    อาณาจักรละโว้ 
    เมืองละโว้ เมื่อแรกก่อตั้งนั้น ปรากฏข้อความในพงศาวดารเหนือกล่าวว่า พระพุทธศักราช 1002 ปี จุลศักราช 10 ปีระกาสัมฤทธิศก จึงพระยากาฬวรรณดิศราชบุตรของพระยากากะพัตรได้เสวยราชสมบัติ เมืองตักกะศิลามหานคร จึงให้พราหมณ์ทั้งหลายยกพลไปสร้างเมืองละโว้ 
    จากข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในพงศาวดารเหนือ พอจะสรุปได้ว่าเมืองละโว้มีมาตั้งแต่ พ.ศ. 1002 แล้ว และจากการขุดค้นทางโบราณคดี ปรากฏว่าตั้งแต่อำเภอชัยบาดาล ถึงอำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี ล้วนแต่มีหลักฐานเกี่ยวกับมนุษย์ในอดีตที่ยาวนานมาแล้ว จากชุมชนขนาดย่อมขยายเป็นเมืองเล็กๆ จนกระทั่งรวมตัวกันเป็นอาณาจักรหรือเขตปกครองที่เป็นส่วนย่อยของประเทศ ราวพุทธศตวรรษที่ 10 – 12 ละโว้กลายเป็นอาณาจักรหรือเมืองขนาดใหญ่แล้ว และในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 – 14 อาณาจักรละโว้มีความรุ่งเรืองอย่างมาก โดยเฉพาะด้านพระพุทธศาสนา 
    อาณาจักรละโว้ มีความเจริญมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีอิทธิพลครอบคลุมดินแดนภาคกลางตอนบน ตั้งแต่จังหวัดนครสวรรค์เรื่อยมาจนถึงภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยบางส่วน ศูนย์กลางของอาณาจักรละโว้ในตอนต้นสันนิษฐานว่าอยู่ที่เมืองลพบุรี และประมาณพุทธศตวรรษที่ 17 ได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองอโยธยา ภายหลังต่อมาเมื่อใน พ.ศ.1893 ได้มีการสถาปนาอาณาจักรอยุธยาขึ้นนั้นให้ละโว้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยา
    http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/presentstu/course/others/wilaiporn/61.2.jpg               
    พระปรางค์สามยอด จังหวัดลพบุรี 
    แสดงให้เห็นอิทธิพลของศาสนาฮินดูและพระพุทธศาสนา
    ที่มาภาพ   http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/presentstu/course/others/wilaiporn/61.2.jpg
                            หลังจากพุทธศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา อาณาจักรขอมได้ขยายอิทธิพลเข้ามายัง
    บริเวณนี้  ทำให้ความสำคัญของอาณาจักรละโว้ลดลง อิทธิพลศิลปวัฒนธรรมของขอมได้แพร่เข้ามาในดินแดนประเทศไทย โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา  และเลยมาทางตะวันตกได้แก่ ปราสาทเมืองสิงห์                         จังหวัดกาญจนบุรี  และในช่วงเวลาดังกล่าวละโว้เป็นศูนย์กลางที่สำคัญทางภาคกลาง จึงได้รับอิทธิพลศิลปะขอม โดยนำมาผสมผสานรูปแบบให้เป็นลักษณะเฉพาะของตนเอง ได้แก่                                     พระปรางค์สามยอด  และเทวสถานปรางค์แขก จังหวัดลพบุรี
    http://2.bp.blogspot.com/_22ZmxOFy6cc/Se161kCEHxI/AAAAAAAAAIY/JC6M1ZkBB9w/s320/552000001584504.jpg
    เทวสถานปรางค์แขก จังหวัดลพบุรีที่มาภาพ  http://2.bp.blogspot.com/_22ZmxOFy6cc/Se161kCEHxI/AAAAAAAAAIY /JC6M1ZkBB9w/s320/
    552000001584504.jpg
    อาณาจักรอโยธยา
                    หลักฐานพงศาวดารเหนือกล่าว อาณาจักรอโยธยาได้พัฒนาขึ้นมาจากศูนย์กลาง    การปกครองเดิม ได้แก่  เมืองละโว้ เมืองอโยธยา ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำเบี้ยทางฝั่งตะวันออกของตัวเมืองพระนครศรีอยุธยาในปัจจุบัน การย้ายศูนย์กลางการปกครองจากเมืองละโว้มายังเมือง           อโยธยา นั้นเป็นช่วงเวลาที่มีการขยายตัวทางด้านการค้าทางทะเลโดยเฉพาะจีน  เพราะอาณาจักร
    อโยธยาอยู่ใกล้ทะเลกว่าละโว้และอยู่ในบริเวณชุมทางของแม่น้ำ 3 สาย คือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสักและแม่น้ำลพบุรี จึงเป็นชุมทางสินค้าที่สำคัญทั้งจากดินแดนภายในและดินแดนภายนอก
    อาณาจักรอโยธยามีความเจริญรุ่งเรืองจากการค้าขาย เนื่องจากเป็นแหล่งชุมชนที่มีทางออกสู่ทะเลได้สะดวกประกอบกับมีชนหลายกลุ่ม หลายเผ่าพันธุ์ จากถิ่นต่างๆ และมีกษัตริย์จากหลายราชวงศ์ผลัดเปลี่ยนกันปกครอง วัฒนธรรมหลายอย่างได้รับการสืบทอดมาจากเมืองละโว้  ประชาชนของอาณาจักรอโยธยา ส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนาทั้งนิกายเถรวาท และมหายาน
    (อาจริยวาท)
    อาณาจักรอโยธยามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทางการเมือง และทางเครือญาติกับเมืองละโว้ และเมืองสุพรรณภูมิ ในตอนปลายพุทธศตวรรษที่ 19 ดินแดนแถบนี้มีจึงกำลังไพร่พลมากขึ้น สามารถรวมตัวกันก่อตั้งเป็นอาณาจักรอยุธยาในปี พ.ศ.1873
     อาณาจักรสุพรรณภูมิ 
                    อาณาจักรสุพรรณภูมิ คือ ดินแดนฟากตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา มีเมืองนครชัยศรี                     เป็นศูนย์กลางในสมัยทวารวดี ต่อมาเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 18 ได้มีการเปลี่ยนแปลงโยกย้ายศูนย์กลางการปกครองจากเมืองนครชัยศรีมาตั้งอยู่ที่เมืองสุพรรณภูมิหรือสุพรรณบุรี เนื่องจาก             เมืองสุพรรณภูมิมีสภาพที่เหมาะสมกว่า
    https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhUHU6v_2t31K-MBxWB_O7TL1RjPzx7OlU1zvNd0H3qtdI9vXi4ciiYcD_1EJIrROxO4E1hI4gYJxLLss9PSzYXmSPGlBvC1ySesU7Rqxf03DuO6S59TKyMQwm5dIMr-6JU2wZYyAGXm_U/s400/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B9%8C5.jpg 
    ปราสาทเมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี 
    ศิลปะการก่อสร้างสมัยลพบุรี อิทธิพลพระพุทธศาสนา 
    นิกายมหายานในอาณาจักรสุพรรณภูมิ 
    ที่มาภาพ   http://1.bp.blogspot.com/_4-0yhgtyycg/StfNqG8rINI/AAAAAAAABeo/6GwjDxmkACc/
    s400/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%
    AA%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B9%8C5.jpg
    พัฒนาการของการย้ายศูนย์กลางจากเมืองนครชัยศรีมาอยู่ที่เมืองสุพรรณภูมิ เพราะลำน้ำที่เป็นเส้นทางคมนาคมของเมืองนครชัยศรีตื้นเขิน ทำให้เรือสินค้าเข้าถึงได้ยาก  ส่วนเมืองสุพรรณภูมิตั้งอยู่ริมแม่น้ำสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นแม่น้ำใหญ่สามารถติดต่อกับอ่าวไทยได้สะดวก เอกสารจีนเรียกดินแดนของอาณาจักรสุพรรณภูมิว่า “เจนลีฟู”สุพรรณภูมิเป็นชุมชนที่เจริญเติบโตจากการค้าขายกับชาวจีน โดยพ่อค้าชาวจีนมาตั้งหลักแหล่งที่ไทย ในพุทธศตวรรษที่ 19 อาณาจักรสุพรรณภูมิ
    มีความรุ่งเรืองด้านเศรษฐกิจอย่างมาก บรรดาเมืองสำคัญของอาณาจักรสุพรรณภูมิ เช่น ราชบุรี เพชรบุรี มีแม่น้ำไหลผ่านเมืองสามารถใช้เป็นเส้นทางติดต่อกับดินแดนภายในและติดต่อทางทะเลได้สะดวก โดยเฉพาะเมืองเพชรบุรี เป็นเมืองท่าที่สำคัญที่สามารถคุมเส้นทางติดต่อกับอาณาจักรตามพรลิงค์ (นครศรีธรรมราช)
    อาณาจักรสุพรรณภูมิเติบโตระยะเวลาใกล้เคียงกับอาณาจักรอโยธยามีกษัตริย์ปกครองเช่นเดียวกับอาณาจักรอโยธยา ประชาชนในอาณาจักรสุพรรณภูมิให้การนับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทเป็นหลัก แต่จากการที่สุพรรณภูมิมีการติดต่ออย่างใกล้ชิดกับเมืองละโว้ (ลพบุรี) ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับกษัตริย์ขอมสันนิษฐานได้ว่า อาณาจักรสุพรรณภูมิมีที่ตั้งอยู่                คนละฟากแม่น้ำกับเมืองละโว้ อาจรับอิทธิพลทางศิลปกรรมและพระพุทธศาสนานิกายมหายานไว้ด้วย โดยสังเกตได้ว่าอิทธิพลของนิกายมหายานได้ปรากฏในหลายท้องถิ่นของอาณาจักรสุพรรณภูมิ เช่น การสร้างปราสาทเมืองสิงห์ที่จังหวัดกาญจนบุรีและการสร้างพระปรางค์ศิลปะสมัยลพบุรี  ที่วัดมหาธาตุ จังหวัดราชบุรี
    s0001 
    วัดมหาธาตุ จังหวัดราชบุรี 
    ที่มาภาพ   http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/942/37942images/s0001.jpg
           ธิดา  สาระยา. (2532). ทวารวดีประวัติศาสตร์ยุคต้นของสยามประเทศ. หน้า 47.
            ผ่องศรี  วนาสินและคณะ. (2523). การศึกษาตำแหน่งที่ตั้งและภูมิศาสตร์สัมพันธ์. หน้า 54 – 57.
            สุภัทรดิศ  ดิศกุล. (2522). ศิลปะในประเทศไทย. หน้า 6.
            แหล่งเดิม. หน้า 7.
           กรมศิลปากร. (2506). ประชุมพงศาวดารทวารวดี ประวัติศาสตร์ยุคต้นของสยามประเทศ. หน้า 28.
             ประชุมศิลาจารึกภาคที่ 2. (2524). จารึกทวารวดี, ศรีวิชัย, ละโว้. หน้า 7.
           ธนิต  อยู่โพธิ์. (2510). เรื่องน่ารู้ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ. หน้า 87.
           ดนัย  ไชยโยธา. (2550). ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย. หน้า 47 – 48.
           สุจิตต์  วงษ์เทศ. (2526). สุโขทัยไม่ใช่ราชธานีแห่งแรกของไทย. หน้า 39.
           ดนัย  ไชยโยธา. (2550). ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย. หน้า 49.
ข้อมูลอ้างอิง