บทความวันที่ 2 มิถุนายน 2558
ว่า.....!!!!!
....วิวัฒนาการของมนุษย์มาจากอะไร...
คำตอบคือ...
อ่านแล้วได้โปรดกดถูกใจให้เป็นกำลังใจกับเด็กที่กำลังสร้างเว็บไซต์นี้ด้วยนะ
วิวัฒนาการของมนุษย์มาจากอะไร
. จำได้ดีว่าคำถามที่ว่า ไข่ กับ ไก่ ใครเกิดก่อนกัน บ้างก็ตอบว่าไก่เกิดก่อนคนอื่นก็จะแย้งว่าในเมื่อไก่เกิดจากไข่ถ้าไม่มีไข่แล้วไก่จะเกิดได้อย่างไร ในทางตรงกันข้ามถ้าบอกว่าไข่เกิดก่อนแล้วใครออกไข่ไก่ มันก็วนกันอยู่อย่างนี้ จนคำถามนี้กลายเป็นปัญหาที่เรียกว่าปัญหาโลกแตกใครก็ไขไม่ได้ แต่วันนี้มีนักวิจัยกลุ่มหนึ่งออกมาเผยว่าพวกเขาสามารถไขปัญหาโลกแตกนี้ได้แล้ว
คำตอบ คำถามโลกแต่ ไข่ กับ ไก่ ใครเกิดก่อนกัน คือ

การจัดชั้นและการใช้ชื่อในบทความ[แก้]
นักวิทยาศาสตร์มีความเห็นไม่เหมือนกับในการการจำแนกชั้นของสัตว์ในวงศ์ลิงใหญ่[15] แผนผังด้านล่างแสดงการจำแนกชั้นแบบหนึ่งของไพรเมต/วงศ์ลิงใหญ่ที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นการจำแนกชั้นที่ให้ความสำคัญกับความใกล้เคียงกันทางกรรมพันธุ์ของมนุษย์และลิงชิมแปนซี[13] โดยมีชื่อตามอนุกรมวิธานดูข้อมูลเพิ่มเติมที่: การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ และ อนุกรมวิธานไพรเมต Haplorhini Simiiformes Catarrhini Hominoidea Hominidae Homininae Gorillinae Ponginae PlatyrrhiniTarsiiformes Strepsirrhini Lemuriformes Lorisoideaprosimianลิงลิงใหญ่มนุษย์ชะนีส่วนการจำแนกชั้นมีดังต่อไปนี้ มีการรวมเอาสายพันธุ์มนุษย์ที่สูญพันธุ์ไว้ด้วย ชื่อแรกเป็นชื่อตามอนุกรมวิธาน ชื่อในวงเล็บเป็นชื่อทั่วไป- วงศ์ย่อย Homininae (hominine)
- วงศ์ย่อย Gorillinae
- สกุล Gorilla (ลิงกอริลลา)
- วงศ์ย่อย Ponginae
- สกุล Pongo (ลิงอุรังอุตัง)
คำที่อาจจะมีความหมายอื่นในที่อื่น ๆ ที่ใช้บ่อย ๆ ในบทความนี้มีดังต่อไปนี้ (ตามผังด้านบน) เป็นคำที่รวมทั้งสัตว์ที่มีชีวิตอยู่และสูญพันธุ์ไปแล้ว- วงศ์ลิงใหญ่ หรือ ลิงใหญ่ หรือ hominid หมายถึงสัตว์ในวงศ์ลิงใหญ่ หลังจากที่วงศ์ชะนีได้แยกสายพันธุ์ไปแล้ว
- homininae หรือ hominine หมายถึงสัตว์ในวงศ์ย่อย Homininae ซึ่งรวมสายพันธุ์ของมนุษย์และสายพันธุ์ของลิงชิมแปนซี หลังจากที่สายพันธุ์ของลิงกอริลลาได้แยกออกไปแล้ว
- hominini หรือ hominin (ไม่มี e ท้ายสุด) หมายถึงสัตว์ในเผ่า hominini คือสายพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด (คือบรรพบุรุษมนุษย์ สายพันธุ์ของญาติบรรพบุรุษมนุษย์ และมนุษย์ทั้งหมด) หลังจากที่สายพันธุ์ของลิงชิมแปนซีได้แยกออกไปแล้ว
- australopithecina หรือ australopithecine ปกติหมายถึงสายพันธุ์มนุษย์สกุล Australopithecus, Paranthropus ซึ่งจัดอยู่ในเผ่าย่อย Australopithecina
- มนุษย์ หมายถึงมนุษย์สปีชีส์ต่าง ๆ ในสกุล Homo เท่านั้น ซึ่งจัดอยู่ในเผ่าย่อย Hominina
- Archaic Homo sapiens (แปลว่ามนุษย์โบราณ) มีความหมายไม่แน่นอน ปกติรวมมนุษย์สปีชีส์ H. heidelbergensis/rhodesiensis, H. neanderthalensis และบางที่รวม H. antecessor[34]แต่โดยทั่ว ๆ ไปหมายถึงมนุษย์สปีชีส์อื่น ๆ ที่เกิดขึ้นหลังจาก 600,000 ปีก่อน รวมทั้งมนุษย์พวก Denisovans ไม่รวมมนุษย์ปัจจุบัน
- มนุษย์ปัจจุบัน หมายถึง Homo sapiens เท่านั้น
หลักฐาน[แก้]
หลักฐานของคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษย์มาจากงานวิทยาศาสตร์ธรรมชาติหลายสาขา (ดูรายละเอียดอื่นที่ต้นบทความ) แหล่งความรู้หลักของกระบวนการวิวัฒนาการปกติมาจากซากดึกดำบรรพ์ ซึ่งเริ่มมีการสั่งสมหลักฐานของพันธุ์มนุษย์เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1829 (ดู "ประวัติการศึกษาสมัยดาร์วิน") แต่เริ่มตั้งแต่มีการพัฒนาด้านพันธุศาสตร์ในสาขาอณูชีววิทยาที่ต้นคริสต์ทศวรรษ 1970 (ดู "ประวัติ-การปฏิวัติทางพันธุศาสตร์") การวิเคราะห์ดีเอ็นเอก็ได้กลายมาเป็นแหล่งความรู้ที่สำคัญพอ ๆ กัน ส่วนงานศึกษาในเรื่องกำเนิดและพัฒนาการของสิ่งมีชีวิต (ontogeny) วิวัฒนาการชาติพันธุ์ (phylogeny) และโดยเฉพาะวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตเชิงพัฒนาการ (evolutionary developmental biology) ของทั้งสัตว์มีกระดูกสันหลังและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังได้ให้ความรู้ใหม่ ๆ พอสมควรเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดรวมทั้งของมนุษย์ มีงานศึกษาเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับกำเนิดและชีวิตของมนุษย์ ซึ่งก็คือมานุษยวิทยา (anthropology) โดยเฉพาะบรรพมานุษยวิทยา (paleoanthropology) เป็นศาสตร์ที่พุ่งความสนใจไปที่มนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์[35]ภายในศตวรรษที่ผ่านมาโดยเฉพาะในทศวรรษที่เพิ่งผ่าน ๆ มา ได้มีการสั่งสมหลักฐานซากดึกดำบรรพ์ (และทางอณูชีววิทยา) มากมายที่เริ่มชี้โครงสร้างการวิวัฒนาการอย่างคร่าว ๆ ของมนุษย์ปัจจุบันจากสายพันธุ์ที่แยกออกจากลิงชิมแปนซี[36] โดยที่รายละเอียดประวัติการวิวัฒนาการและการจัดชั้นของสกุลและสปีชีส์ต่าง ๆ ยังมีการเพิ่มและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเป็นปีต่อปี[16] เพราะได้หลักฐานใหม่ ๆ ที่ช่วยยืนยันหรือปฏิเสธสมมติฐานที่มีอยู่ต่าง ๆ เพราะฉะนั้น เป็นอันหวังได้ว่า บทความจะมีข้อมูลที่ล้าหลังหลักฐานใหม่ ๆ ไปบ้างหลักฐานทางอณูชีววิทยา[แก้]
สำหรับสัตว์ (รวมทั้งมนุษย์) ที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือสำหรับสัตว์ที่สูญพันธุ์แล้ว (รวมทั้งสายพันธุ์ต่าง ๆ ของมนุษย์) แต่ยังหาสารอินทรีย์ที่ประกอบด้วยดีเอ็นเอได้ หลักฐานทางอณูชีววิทยานั้นสามารถให้ข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษย์ โดยใช้ประกอบร่วมกับข้อมูลซากดึกดำบรรพ์และข้อมูลสัตว์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ดังต่อไปนี้[12] คือ- ช่วงเวลาที่สัตว์ (รวมทั้งมนุษย์) สองพันธุ์ โดยเฉพาะพันธุ์ที่ใกล้ชิดกัน
- เกิดการแยกสายพันธุ์กัน (เช่นการแยกสายพันธุ์ของมนุษย์จากลิงชิมแปนซี) หรือ
- มีบรรพบุรุษสุดท้ายร่วมกัน (เช่นมนุษย์ปัจจุบันมีบรรพบุรุษหญิงร่วมกันสุดท้ายที่ 90,000-200,000 ปีก่อน)
- ความสัมพันธ์ทางกรรมพันธุ์ระหว่างพันธุ์สัตว์ (รวมทั้งมนุษย์) ที่สามารถใช้ในการสร้างต้นไม้สายพันธุ์ (เช่นมนุษย์มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับลิงชิมแปนซีมากกว่าลิงกอริลลา)
- ยีนของสัตว์นั้นอาจแสดงลักษณะทางพันธุกรรมที่ปรากฏ (ซึ่งเริ่มการสั่งสมหลักฐานตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001)
โดยที่สองข้อแรกได้ช่วยความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับวิวัฒนาการมนุษย์ให้ดีขึ้นแล้ว และข้อสุดท้ายอาจมีประโยชน์ยิ่ง ๆ ขึ้นต่อ ๆ ไปในอนาคตหลักฐานทางอณูชีววิทยา ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิวัฒนาการมนุษย์มีตัวอย่างสำคัญ ๆ ดังต่อไปนี้- สกุลสัตว์ที่ยังไม่สูญพันธุ์ที่ใกล้กับมนุษย์ที่สุดเป็นลิงโบโนโบ ลิงชิมแปนซี (ทั้งสองในสกุล Pan) และลิงกอริลลา (สกุล Gorilla) [13] การหาลำดับดีเอ็นเอในจีโนมของทั้งมนุษย์และลิงชิมแปนซี พบว่า มีความคล้ายคลึงกันถึงประมาณ 95-99%[37][38] เป็นความคล้ายคลึงกันที่แสดงถึงความมีสายพันธุ์เป็นพี่น้องกัน (sister taxon) หรือแม้แต่อยู่ในสกุลเดียวกัน[16]
- โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า molecular clock (นาฬิกาอาศัยโครงสร้างโมเลกุล) ซึ่งใช้ประเมินระยะเวลาการแยกสายพันธุ์ โดยวัดเวลาก่อนที่การกลายพันธุ์ที่ไม่เหมือนกันของสายพันธุ์สองสายพันธุ์จะสั่งสมจนมาถึงในระดับปัจจุบัน ได้มีการพบว่า การแยกสายพันธุ์ของมนุษย์และสายพันธุ์ของลิงชิมแปนซี ได้อยู่ในช่วงเวลาประมาณ 4 ถึง 8 ล้านปีก่อนซึ่งอยู่ในช่วงปลายสมัย Miocene (ซึ่งเป็นส่วนปลายของยุคนีโอจีน) [12] (ดูรายละเอียดในหัวข้อ "การแยกสายพันธุ์ของวงศ์ลิงใหญ่")
- จีโนมของมนุษย์นั้นมีทั้งส่วนที่มีการแสดงออกเป็นลักษณะสืบสายพันธุ์ (trait) และมีบางส่วนที่ไม่มีการแสดงออก ส่วนที่ไม่มีการแสดงออกสามารถใช้ในการสืบหาสายตระกูลได้ คือในส่วนที่ไม่ทำให้เกิดลักษณะสืบสายพันธุ์ การกลายพันธุ์แบบ Single-nucleotide polymorphism คือมีเบสดีเอ็นเอเปลี่ยนไปเบสเดียว จะสืบต่อไปยังลูกหลานของบุคคลนั้นทั้งหมด แต่ไม่มีในมนุษย์กลุ่มอื่น ดังนั้นสายตระกูลของบุคคลนั้นก็จะสามารถติดตามได้[8] ส่วนดีเอ็นเอในไมโทคอนเดรีย (mitochondrial DNA ตัวย่อ mtDNA) นั้นสืบสายมาจากมารดาเท่านั้น จึงไม่เกิดการคัดเลือกทางเพศ นอกจากนั้นแล้ว ยังเป็นดีเอ็นเอที่เกิดการกลายพันธุ์ในอัตราความถี่สูง ทำให้สามารถใช้ประเมินเวลาการแยกสายตระกูล (หรือสายพันธุ์) ได้ดี[8]
- ผลงานวิจัยเกี่ยวกับ mtDNA หลายงานแสดงว่า หญิงที่เป็นต้นตระกูลของมนุษย์ปัจจุบันทั้งหมด ซึ่งเป็นหญิงที่เรียกว่า mitochondrial Eve (เอวาโดย mtDNA) มีชีวิตอยู่ประมาณ 90,000-200,000 ปีก่อน[39][40][41] น่าจะในแอฟริกาตะวันออก[12] ซึ่งเป็นหลักฐานที่ให้น้ำหนักกับทฤษฎีกำเนิดมนุษย์จากแอฟริกาเร็ว ๆ นี้มากขึ้น (ดูรายละเอียดเพิ่มที่หัวข้อ "การอพยพย้ายถิ่นฐานของมนุษย์")
- ผลงานวิจัยโดยจีโนมในปี ค.ศ. 2010 บอกเป็นนัยว่า มีลำดับดีเอ็นเอหลายส่วนที่มีต้นกำเนิดจากมนุษย์โบราณ Homo neanderthalensis (อังกฤษ: Neanderthal) ในดีเอ็นเอของมนุษย์ปัจจุบันทุกเผ่าพันธุ์ที่ไม่ใช่คนแอฟริกา และว่า Neanderthal และมนุษย์สกุลโฮโมสกุลอื่น ๆ เช่นกลุ่มมนุษย์โบราณที่รู้จักกันว่า Denisova hominin(อังกฤษ: Denisovan) เป็นต้นกำเนิดจีโนมถึง 1-10% ของจีโนมมนุษย์ปัจจุบัน ซึ่งบอกเป็นนัยว่า มีการผสมพันธุ์กัน[F] ระหว่างมนุษย์ปัจจุบันและมนุษย์โบราณเหล่านี้[42] (ดูรายละเอียดเพิ่มที่หัวข้อ "การผสมพันธุ์กันระหว่างมนุษย์กลุ่มต่าง ๆ")
มนุษย์กับการเพาะปลูก[แก้]
เดิมทีมนุษย์รุ่นแรก ๆ เมื่อ ห้าพันปีก่อนคริสต์ศักราช รู้จักเก็บข้าวสาลีและข้าวบาร์เล่ย์เป็นอาหาร ต่อมาด้วยความฉลาดและสังเกต ทำให้มนุษย์สามารถเพาะปลูกได้เอง โดยเริ่มในเขต เมโสโปเตเมีย มนุษย์ปัจจุบันได้แบ่งเชื้อชาติเผ่าพันธุ์กว้าง ๆ เป็น คอเคซอยด์ มองโกลอยด์ นิกรอยด์ และออสตราลอยด์ ยุคหินใหม่เป็นยุคแห่งเกษตรกรรม พืชที่สำคัญที่มนุษย์ยุคนี้ปลูกก็คือ ข้าว นอกจากนี้ยังอาจปลูกพืชอื่น ๆ เช่น ถั่ว ฟัก บวบ ส่วนสัตว์เลี้ยงสำคัญ ได้แก่สุนัข หมู วัว ควาย การล่าสัตว์ยังคงพบ หลักฐานการล่าเก้ง กวาง กระต่าย แรด กระจง กระรอก เต่า ตะพาบ หอย ปู และหลาชนิดต่าง ๆ จนกระทั่งมีการปฏิวัติอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่ประชากรมนุษย์ทำงานในภาคการเกษตร การเกษตรแบบก่อนอุตสาหกรรม โดยทั่วไปเป็นการเกษตรเพื่อการดำรงชีวิต/การพึ่งตัวเองในที่ซึ่งเกษตรกรส่วน ใหญ่ปลูกพืชเพื่อการบริโภคของตัวเองแทน "พืชเงินสด" เพื่อการค้า การปรับเปลี่ยนที่โดดเด่นในการปฏิบัติทางการเกษตรได้เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ผ่านมาในการตอบสนองต่อเทคโนโลยีใหม่ ๆ และการพัฒนา ของตลาดโลก มันยังได้นำไปสู่การปรับปรุงด้านเทคโนโลยีในเทคนิคการเกษตร เช่นวิธีของ 'ฮาเบอร์-Bosch' สำหรับการสังเคราะห์แอมโมเนียมไนเตรตซึ่งทำให้การปฏิบัติแบบดั้งเดิมของสารอาหารที่รีไซเคิล ด้วยการปลูกพืชหมุนเวียนและมูลสัตว์มีความสำคัญน้อยลง [185]การเปลี่ยนมามีพฤติกรรมปัจจุบัน[แก้]
จนกระทั่งถึงประมาณ 50,000-40,000 ปีก่อน การใช้เครื่องมือหินดูเหมือนจะมีการพัฒนาเป็นขั้น ๆ โดยในแต่ละก้าว H. habilis, H. ergaster/erectus, และ H. neanderthalensis จะเริ่มต้นตรงที่สูงขึ้นจากขั้นก่อน ๆ แต่เมื่อเริ่มแล้ว การพัฒนาต่อ ๆ ไปจะเป็นไปอย่างล่าช้า ในปัจจุบัน นักบรรพมานุษยวิทยายังพิจารณากันอยู่ว่า สปีชีส์ของHomo เหล่านี้ มีลักษณะทางวัฒนธรรมหรือพฤติกรรมบางอย่างหรือหลายอย่าง ที่เหมือนกับมนุษย์ปัจจุบันเช่น ภาษา ความคิดทางสัญลักษณ์ที่ซับซ้อน ความคิดสร้างสรรค์ทางเทคโนโลยี ฯลฯ หรือไม่ เพราะว่า มนุษย์เหล่านั้นดูเหมือนว่า จะค่อนข้างอนุรักษนิยมในเรื่องวัฒนธรรม เพราะรักษาไว้ซึ่งการใช้เทคโนโลยีแบบง่าย ๆ และรูปแบบการแสวงหาอาหารเป็นช่วงระยะเวลายาวนานประมาณ 50,000 ปีก่อน วัฒนธรรมของมนุษย์ปัจจุบันจึงปรากฏหลักฐานว่าเริ่มพัฒนาเร็วขึ้น การเปลี่ยนแปลงมามีพฤติกรรมปัจจุบันได้รับการกำหนดว่าเป็น "Great Leap Forward" (การกระโดดก้าวไกลไปข้างหน้า) ของคนยูเรเชีย[186] หรือเป็น "Upper Palaeolithic Revolution" (ปฏิวัติยุคหินเก่าปลาย) [187] เพราะการปรากฏอย่างฉับพลันของหลักฐานทางโบราณคดี ที่บ่งถึงพฤติกรรมปัจจุบันของมนุษย์ แต่ว่า นักวิชาการบางท่านพิจารณาการเปลี่ยนแปลงนี้ว่าเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยที่ลักษณะบางอย่างปรากฏขึ้นแล้วบ้างในสาย Archaic Homo sapiens ในแอฟริกาช่วง 200,000 ปีก่อน[188][189] ดังที่แสดงโดยหลักฐานจากถ้ำ Blamboo Cave ในประเทศแอฟริกาใต้[182]ในช่วงนี้ มนุษย์ปัจจุบันเริ่มฝังคนตาย[AB] ใช้เสื้อผ้า[AC] ล่าสัตว์ด้วยเทคนิคที่ซับซ้อนขึ้น (เช่นใช้หลุมพรางเป็นต้น) [171] และทำงานศิลป์เกี่ยวกับภาพวาดในถ้ำ[177]เมื่อวัฒนธรรมเจริญขึ้น มนุษย์กลุ่มต่าง ๆ ก็เริ่มสร้างสิ่งใหม่ ๆ เสริมเข้ากับเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้ว สิ่งประดิษฐ์เช่น เบ็ดปลา ลูกกระดุม และเข็มกระดูก มีความแตกต่างกันระหว่างมนุษย์กลุ่มต่าง ๆ ซึ่งเป็นอะไรที่ไม่เคยเห็นในวัฒนธรรมมนุษย์ก่อน 50,000 ปีก่อน คือโดยทั่ว ๆ ไปแล้ว กลุ่มต่าง ๆ ของ H. neanderthalensis ไม่ค่อยมีความแตกต่างกันทางเทคโนโลยีในบรรดาตัวอย่างที่สามารถหาหลักฐานทางโบราณคดีได้ของพฤติกรรมมนุษย์ปัจจุบัน นักมานุษยวิทยารวมเอา[46][32][190]- การทำเครื่องมือเฉพาะกิจ เครื่องมือผสม หรือเครื่องมือที่ทำได้อย่างละเอียดละออ (เช่นเครื่องมือหินที่ประกอบกับด้าม)
- อาวุธที่ใช้ยิงได้ (เช่นธนู)
- การเล่นเกมและดนตรี
- เรือหรือแพ
- เครื่องใช้ดินเผา
- การก่อสร้างและการจัดระเบียบของที่อยู่
- เทคนิคการล่าสัตว์ที่ซับซ้อน
- การตกปลา และการจับสัตว์เล็ก ๆ เช่นกระต่ายเป็นต้น
- การหุงอาหารและการปรุงอาหาร คือไม่ได้ทานอย่างดิบ ๆ
- การเก็บรักษาอาหารเป็นเสบียง
- สัตว์เลี้ยง
- เครือข่ายการแลกเปลี่ยนสินค้า
- การไปได้ในที่ไกล ๆ
- ศิลปะรูปลักษณ์คือรูปสัตว์และรูปมนุษย์เป็นต้น (เช่นภาพวาดในถ้ำ)
- การใช้สี เช่นสีดิน และเครื่องประดับเพื่อการประดับตกแต่งที่อยู่หรือร่างกาย
- การฝังศพพร้อมกับวัตถุต่าง ๆ
แต่ว่า การหาข้อยุติก็ยังเป็นไปว่า มี "การปฏิวัติ" ที่เกิดโดยฉับพลันที่นำมาสู่พฤติกรรมของมนุษย์ปัจจุบัน หรือว่า เป็นพัฒนาการที่เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปเริ่มต้นตั้งแต่ 250,000-300,000 ปีก่อน[32] นอกจากนั้นแล้ว ก็ยังมีนักวิชาการที่คัดค้านด้วยว่า ตัวอย่างพฤติกรรมปัจจุบันให้ความสำคัญกับหลักฐานที่มีในแอฟริกาน้อยเกินไป (ซึ่งหายากกว่าเก็บรักษาไว้ได้ในสภาพที่แย่กว่าเพราะภูมิอากาศ) หรือคลุมเครือเกินไปเพราะว่าสามารถอธิบายได้โดยเหตุผลอื่นที่ง่ายกว่า หรือมีปัญหาในการใช้วิธีและมาตรฐานทดสอบเดียวกันในช่วงสมัยต่าง ๆ กัน[191] นอกจากนั้นแล้ว ก็เริ่มจะปรากฏหลักฐานที่คัดค้านทฤษฎี "Great Leap Forward" (การกระโดดก้าวไปข้างหน้า) คือพบสิ่งประดิษฐ์ที่ใช้เป็นหลักฐานแสดงพฤติกรรมปัจจุบันของมนุษย์ในแอฟริกาใต้ในช่วงยุคหินเก่ากลาง ที่เก่าแก่กว่าที่พบยุโรป[183]วิวัฒนาการของมนุษย์ในเร็ว ๆ นี้และในปัจจุบัน[แก้]
การคัดเลือกโดยธรรมชาติก็ยังเป็นไปในมนุษย์ปัจจุบันกลุ่มต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น ในมนุษย์กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อโรคที่ทำให้อ่อนกำลังอย่างรุนแรงคือโรคคูรุ[AD] ปรากฏคนที่มียีนพรีออน "G127 V" ซึ่งเป็นอัลลีลเป็นยีนรูปแปรที่มีภูมิคุ้มกันต่อโรคมากกว่าอัลลีลที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน ความชุกของการกลายพันธุ์ (หรือรูปแปรทางกรรมพันธุ์) เช่นนี้ เกิดขึ้นเพราะการรอดชีวิตของบุคคลผู้มีภูมิต้านทานโรค[192][193] วิวัฒนาการที่พบในมนุษย์กลุ่มอื่น ๆ รวมทั้งวัยเจริญพันธุ์ที่มีระยะยาวขึ้น บวกกับการลดระดับของคอเลสเตอรอล กลูโคสในเลือด และความดันเลือด[194]มีการเสนอว่า วิวัฒนาการของมนุษย์ได้เร่งเร็วขึ้นตั้งแต่เกิดการพัฒนาทางเกษตรกรรมและอารยธรรมเมื่อ 10,000 ปีก่อน และนี่ทำให้เกิดความแตกต่างทางกรรมพันธุ์อย่างสำคัญในกลุ่มต่าง ๆ ของมนุษย์[195] การมีเอนไซม์แล็กเทสในวัยผู้ใหญ่ (Lactase persistence) คือการที่ยังมีการทำงานของเอนไซม์แล็กเทสเพื่อย่อยแล็กโทสซึ่งเป็นน้ำตาลในนมตลอดจนถึงวัยผู้ใหญ่ เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ เพราะว่าโดยปกติของสปีชีส์ต่าง ๆ ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม การทำงานของเอนไซม์จะลดลงอย่างสำคัญหลังจากเลิกนม[196] แต่ในกลุ่มต่าง ๆ ของมนุษย์ปัจจุบัน มีส่วนเปอร์เซ็นต์ของประชากรที่ไม่เท่ากันที่มียีนที่ทำให้มีเอนไซม์แล็กเทสในวัยผู้ใหญ่ คือเริ่มตั้งแต่ชาวดัตช์ที่ 99%[197]จนถึงชาวไทยที่ 2%[198] และกลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกันในสหรัฐอเมริกาที่ 0%[198] ซึ่งส่วนสัดเช่นนี้ขึ้นอยู่กับว่าเป็นกลุ่มประชากรที่บริโภคนมในวัยผู้ใหญ่เป็นเวลามายาวนานในประวัติหรือไม่อย่างไรก็ดี วิวัฒนาการของมนุษย์ที่ปรากฏเร็ว ๆ นี้ดูเหมือนจะจำกัดอยู่ในเรื่องภูมิต้านทานต่อโรคติดต่อโดยมาก เป็นโรคที่มนุษย์ติดข้ามสปีชีส์มาจากสัตว์เลี้ยง[33] แต่เพราะไร้เหตุกดดันทางการคัดเลือกโดยธรรมชาติ หรือเพราะไร้โอกาสที่จะเกิดสปีชีส์ใหม่ เช่นโอกาสการอยู่แยกต่างหากโดยไม่ติดต่อคนอื่นนอกพื้นที่ วิวัฒนาการของมนุษย์เร็ว ๆ นี้ (รวมที่ปรากฏและไม่ปรากฏ) โดยมากก็จะเป็นการเปลี่ยนความถี่ยีนอย่างไม่เจาะจง (genetic drift) นอกจากนั้นแล้ว ยังปรากฏอีกด้วยว่า ทั้งมนุษย์ทั้งวงศ์ลิงใหญ่แอฟริกัน (รวมกอริลลาและชิมแปนซี) ปรากฏการวิวัฒนาการที่ช้าลงจากลิงสายพันธุ์อื่น ๆ ซึ่งอาจเกิดขึ้นเพราะแต่ละชั่วอายุมีความยาวนานยิ่งขึ้น[12]ประมวลข้อมูลมนุษย์สปีชีส์ต่าง ๆ[แก้]
- ลำดับการเกิดขึ้นของสายพันธุ์มนุษย์ ดู แผนภูมิสปีชีส์ตามกาลเวลา
- กาลานุกรมวิวัฒนาการมนุษย์เริ่มตั้งแต่ 4,000 ล้านปีก่อน
- ตารางเปรียบเทียบสปีชีส์ต่าง ๆ ของมนุษย์สกุลโฮโม
- รายการซากดึกดำบรรพ์สายพันธุ์มนุษย์
แผนภาพแสดงความใกล้เคียงกันของสายพันธุ์มนุษย์[แก้]
แผนภาพวิวัฒนาการแบบแคลดิสติกส์ของสายพันธุ์มนุษย์ (คือแผนภาพแสดงความใกล้เคียงกันของสายพันธุ์มนุษย์ อังกฤษ: hominin cladogram) เป็นแผนภาพแสดงการจัดกลุ่มของสัตว์ในสายพันธุ์มนุษย์ (ที่แยกออกจากลิงใหญ่แอฟริกันแล้ว) โดยลักษณะเฉพาะที่มีร่วมกันอย่างหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งของกลุ่มนั้น ๆ ที่สืบมาจากบรรพบุรุษที่มีร่วมกัน และไม่พบในกลุ่มอื่น ๆ ดังนั้น จึงพิจารณาว่ามนุษย์ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันจะมีประวัติการสืบสายพันธุ์ร่วมกันและมีความใกล้ชิดต่อกันและกัน มากกว่าต่อสมาชิกในกลุ่มอื่น ๆ[199][200]ในบทความนี้แสดงสามแบบ ให้สังเกตว่า สปีชีส์ที่ "อยู่ในกลุ่มเดียวกัน" ก็คือสปีชีส์ที่มีจุดเริ่มร่วมกันนั่นเองตาม Wood & Richmond (ค.ศ. 2000) เป็นการวิเคราะห์ใช้แต่ข้อมูลหัวกะโหลกและฟัน[13] Australopithecus afarensisAustralopithecus africanusParanthropus aethiopicusParanthropus boiseiParanthropus robustusHomo habilisHomo rudolfensisHomo ergasterHomo erectusHomo heidelbergensisHomo neanderthalensisตาม Strait & Grine (ค.ศ. 2004) เป็นการวิเคราะห์ใช้แต่ข้อมูลหัวกะโหลกและฟัน[201] Sahelanthropus tchadensisArdipithecus ramidusAustralopithecus anamensisAustralopithecus afarensisAustralopithecus garhiAustralopithecus africanusKenyanthropus platyopsParanthropus robustusParanthropus boiseiParanthropus aethiopicusHomo habilisHomo rudolfensisHomo ergasterตาม Organ et al. (ค.ศ. 2011)[202] Sahelanthropus tchadensisArdipithecus ramidusAustralopithecus anamensisAustralopithecus afarensisAustralopithecus garhiAustralopithecus africanusKenyanthropus platyopsParanthropus robustusParanthropus aethiopicusParanthropus boiseiHomo rudolfensisHomo habilisHomo erectusรายชื่อสปีชีส์[แก้]
รายชื่อนี้เป็นไปตามลำดับเวลาจากซ้ายไปขวาโดยสกุล ให้แทนอักษรย่อในทวินามด้วยชื่อสกุล- Sahelanthropus
- S. tchadensis
- Orrorin
- O. tugenensis
- Ardipithecus
- A. kadabba
- A. ramidus
- Australopithecus
- A. anamensis
- A. afarensis
- A. bahrelghazali
- A. africanus
- A. garhi
- A. sediba
- Paranthropus
- P. aethiopicus
- P. boisei
- P. robustus
- Kenyanthropus
- K. platyops
- Homo
- H. gautengensis
- H. habilis
- H. rudolfensis
- H. ergaster
- H. georgicus
- H. erectus
- H. cepranensis
- H. antecessor
- H. heidelbergensis
- H. rhodesiensis
- H. neanderthalensis (Neanderthal)
- H. sapiens idaltu
- H. sapiens (Cro-Magnon)
- H. sapiens sapiens
- H. floresiensis
- Denisova hominin หรือ Denisovan (สปีชีส์ยังไม่ได้กำหนด)
- Red Deer Cave people (สปีชีส์ยังไม่ได้กำหนด)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น